เทคนิควิธีการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง หรือกุ้งล็อบเตอร์น้ำจืด กุ้งเศรษฐกิจตัวใหม่ที่หลายๆคนเลี้ยง
กุ้งก้ามแดง หรือ กุ้งล็อบเตอร์น้ำจืดมีถิ่นกำเนิดที่ ออสเตรเลีย ขนาดโตเต็มที่ 12 นิ้วอายุเฉลี่ย 4ปี ในธรรมชาติ ถ้าเลี้ยงใส่ตู้กระจกสามารถอยู่ได้ 2-3 ปี อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเลี้ยง 25-28 องศา ถือว่า อากาศและอุณหูภูมิในบ้านเรา กำลังดีเลยครับ
กุ้งก้ามแดงเป็นกุ้งชนิดแรกที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงทดลองเลี้ยงเพื่อเป็นอาหาร เพราะเป็นกุ้งที่มีการเจริญเติบโตค่อนข้างเร็วและมีขนาดใหญ่มาก ลักษณะเด่นคือ มีขนาดใหญ่และสีของกุ้งมีการเปลี่ยนแปลงตลอด แต่สีที่พบมากที่สุดคือ สีเขียว สีน้ำตาล และสีน้ำเงิน ซึ่งคนไทยจะเรียกว่า บลู ล็อบเตอร์ บางที่ก็เลี้ยงไว้เพื่อความสวยงามแล้วนำจำหน่ายได้ในราคาสูงมากทีเดียว หรือบางคนก็อาจจะเพาะพันธุ์เลี้ยงขาย ราคากุ้งขนาดเดินดิน (ตัวเล็ก)ตัวละ 8 บาท
ขนาด 1 นิ้ว 40 บาท 2 นิ้ว 90 บาท 3 นิ้ว คู่ละ 250 บาท 4 นิ้ว คู่ละ 450 บาท นับว่าเป็นการสร้างรายได้ที่ดีเลยทีเดียวครับ เลี้ยงง่าย กินง่าย เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างสูงเลยครับ
กุ้งชนิดนี้มีจุดเด่นอีกอย่างคือ แถบข้างของก้ามจะมีสีแดง และ สีส้ม เป็น เอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งแถบสีเหล่านี้ จะพบกับกุ้งเพศผู้เท่านั้นครับ ส่วนเพศเมียจะไม่มีแถบสีเลยครับ กุ้งชนิดนี้เลี้ยงง่าย ปรับตัวได้ไวและภูมต้านทานโรคสูง ปัจจุบันเกษตรนำมาเลี้ยงเป็นกุ้งเนื้อ และเป็นที่ต้องการของตลาด
การเริ่มต้นเลี้ยงกุ้งก้ามแดง แบบเลี้ยงเพื่อเศรษฐกิจ จะต้องทำอย่างไรบ้าง มาดูกัน
1. การเตรียมน้ำ ต้องเตรียมน้ำ ยกตัวอย่างเลี้ยงในตู้ 24 นิ้ว ใส่น้ำประมาณ 50 ลิตร ควรเติมเกลือแกงไปประมาณ 2-4 ช้อนโต๊ะ เปิด ออกซเจนทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง ไม่ต้องใส่น้ำยาลดคลอรีน ก่อนนำกุ้งลงตู้ให้เอาถุงใส่กุ้งลอยน้ำทิ้งไว้ 15 นาที เพื่อปรับอุณหภูมิให้กับกุ้งครับ
** กรณีเลี้ยงบ่อดิน บ่อผ้าใบพลาสติก ใส่น้ำความสูง 30-40 เซนติเมตร เติมเกลือ อัตราน้ำ 1000 ลิตร ต่อ 1 กิโลกรัม ปั๊มออกซิเจน หรือใบพัดปั่นน้ำ ในบ่อทิ้งไว้ 5-6 ชั่วโมง ค่อยนำกุ้งลง แล้วแต่ ขนาดของบ่อ **
2.ปรับอุณหภูมิการเลี้ยงไว้ที่ 20-30 องศาเซลเซียส
3.สังเกตการลอกราบของกุ้ง ซึ่งช่วงเวลานี้กุ้งจะบอบบางและอ่อนแอมาก จะสังเกตอย่างไร แบ่งออกเป็นข้อๆได้ตามนี้ครับ
- ปริมาณการกินอาหารน้อยลง
- รอยต่อของลำตัวจะเปิด
- จับดูที่เปลือกหัวจะนุ่มนิ่มแสดงว่าใกล้ลอกคราบ
- แต่ถ้าห้วเปิดแล้วตัวยังแข็งอยู่แสดงว่ายังไม่ลอกคราบ อาจจะเกิดจากการที่กุ้งกินอาหารมากเกินไป ทำให้เปลือกบริเวฯรอยต่อยกขึ้นเหมือนลอกคราบ
4. การถ่ายน้ำในกรณีเลี้ยงตู้ควรถ่ายทุกๆ 7-10 วัน ** ส่วนบ่อดิน บ่อผ้าใบพลาสติก สูบน้ำเก่าออกเติมน้ำใหม่เข้า ทุก 2 สัปดาห์ ** ไม่ควรเปลี่ยนน้ำทิ้งทั้งหมด จะทำให้กุ้ง น็อคน้ำได้
5.อาหาร สำหรับกุ้งชนิดนี้กินได้ทั้งพืชและสัตว์และอาหารเม็ด ยกตัวอย่างอาหารของกุ้งก้ามใหญ่ เช่น สาหร่ายหางกระรอก แครอท และพืชน้ำอื่นๆ ประเภทเนื้อสัตว์จะเป็นพวก กุ้งฝอยต้ม เนื้อปลาตัวเล็กๆ *หนอนแดง กรณีเลี้ยงในตู้หรือ บ่อพลาสติก*
6.การเพาะพันธุ์ กุ้งก้ามใหญ่ จะเริ่มผสมพันธุ์ที่ขนาดประมาณ 3 นิ้วขึ้นไป ( ขึ้นอยู่กับความสมบูรณื และสายพันธุ์ ) หลังจากผสมแล้ว ตัวเมียจะปล่อยไข่ออกมาใต้หาง และใช้เวลา 30 วันลูกจะเป็นตัวแล้วจะลงดิน อัตตราการผสม ตัวผู้ 1 ตัว ต่อ ตัว เมีย 3 ตัว
กุ้งเครย์ฟิช สามารถนำมาเลี้ยงในตู้ปลาได้ แต่หากเลี้ยงรวมกันหลายตัว ควรจะเลี้ยงในตู้ปลาขนาดใหญ่ ที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 24 นิ้ว เพราะกุ้งเครย์ฟิช มีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว และหวงถิ่นที่อยู่ เมื่อมีเนื้อที่กว้างจะทำให้กุ้งแต่ละตัวสามารถสร้างอาณาเขตของตนเองได้ หากนำมาเลี้ยงรวมกันอย่างหนาแน่นจะพบว่า กุ้งเครย์ฟิช ขนาดเล็กมักถูกรังแกและมีโอกาสที่จะถูกกุ้งเครย์ฟิชที่มีขนาดใหญ่กว่ากิน เป็นอาหารได้ นอกจากนี้ ควรใส่ขอนไม้ กระถางต้นไม้แตกๆ หรือท่อ พีวีซี ตัดเป็นท่อนๆ เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชได้หลบอาศัยในเวลากลางวัน เพราะปกติช่วงกลางวันเป็นเวลาที่มันจะอยู่เงียบๆ แต่จะออกมาหาอาหารในเวลากลางคืนมากกว่า
สำหรับการตกแต่งตู้เลี้ยง กุ้งเครย์ฟิชนั้น หากชอบให้ตู้โล่งก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ควรใส่ท่อพีวีซีลงไปด้วย เพื่อให้กุ้งได้ใช้ในการหลบซ่อนตัว แต่หากต้องการให้ตู้เลี้ยงมีความสวยงามก็สามารถใช้กรวดปูพื้นตู้ได้ แต่มักพบว่า กุ้งเครย์ฟิชมีนิสัยชอบขุดคุ้ยกรวดเพื่อสร้างเป็นที่กำบังในเวลากลางวัน จึงทำให้ไม่เป็นเหมือนครั้งแรกที่แต่งไว้ ทั้งนี้ จึงควรจะปูกรวดให้หนา ไม่ต่ำกว่า 5 เซนติเมตร เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชขุดกลบลำตัวได้ แต่ไม่ควรปูพื้นตู้ด้วยทราย เพราะมีความหนาแน่นสูง หากกุ้งเครย์ฟิชมุดลงไปแล้วอาจทำให้ขาดอากาศหายใจได้
ผู้เลี้ยงไม่จำเป็นที่จะต้องติดตั้งปั๊มออกซิเจนในตู้เลี้ยงก็สามารถทำได้หากเลี้ยงจำนวนน้อย แต่หากต้องการจะติดตั้งเครื่องปั๊มออกซิเจนก็ปล่อยอากาศให้น้ำกระเพื่อมเบาๆ ก็พอ ส่วนระบบกรองน้ำ ควรใช้ชนิดกรองบน กรองแขวน หรืออาจจะใช้กรองฟองน้ำที่เป็นตุ้มก็เพียงพอ แต่ไม่ควรใช้ชนิดกรองใต้ตู้ เพราะกุ้งเครย์ฟิชมักจะขุดกรวดขึ้นมา
อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมในการ เลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช คือ ประมาณ 23-28 องศาเซลเซียส ค่าพีเอช ที่เหมาะสมคือ ประมาณ 7.5-10.5 แต่หากน้ำมีความกระด้างสูง ก็สามารถใส่เกลือลงไปในตู้ได้ เพื่อเป็นการปรับสภาพน้ำ นอกจากนี้ เกลือยังช่วยเสริมแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อการลอกคราบและสร้างเปลือกใหม่ ด้วย สำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ แต่ทีละน้อย เพื่อป้องกันอุณหภูมิเปลี่ยนฉับพลัน และน้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำสะอาด
กุ้งเครย์ฟิช สามารถกินอาหารได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก เศษเนื้อสัตว์ หรือให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปชนิดจมก็ได้ สามารถกินเศษอาหารได้ทั่วไป เพื่อความสะดวก แต่ไม่ควรให้อาหารบ่อย 2-3 วัน ให้ครั้งหนึ่งก็พอ และควรให้น้อยๆ แต่พอดี เพื่อป้องกันการตกค้างของอาหาร ซึ่งจะทำให้น้ำเน่าเสีย ส่งผลต่อการเกิดโรคได้ และควรให้อาหารในเวลากลางคืน เพราะตามธรรมชาติ กุ้งเครย์ฟิชเป็นสัตว์ที่หาอาหารกินในเวลากลางคืน
สำหรับการเพาะพันธุ์กุ้งเครย์ฟิชนั้นไม่ยาก เพราะสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี และสามารถขยายพันธุ์ได้ง่าย เพียงนำกุ้งเครย์ฟิชตัวผู้กับตัวเมียมาปล่อยรวมกัน แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นตัวผู้กับตัวเมีย โดยสังเกตที่อวัยวะสืบพันธุ์ตรงช่วงขาเดิน กุ้งตัวผู้มีอวัยวะคล้ายตะขอบริเวณขาเดินคู่ที่สองและสาม ซึ่งตะขอนี้เอาไว้เกาะตัวเมียตอนผสมพันธุ์ ส่วนตัวเมียจะมีอวัยวะสืบพันธุ์เป็นแผ่นทรงวงรีบริเวณขาเดินคู่ที่ 3
กุ้งเครย์ฟิช ใช้เวลาผสมพันธุ์นานกว่า 10 นาที หลังจากนั้นสามารถย้ายกุ้งตัวเมียไปยังตู้อนุบาลได้ เพื่อเป็นการเตรียมที่อยู่สำหรับลูกกุ้ง หลังจากนั้น ตัวเมียจะทยอยผลิตไข่ขึ้นมาไว้บริเวณขาว่ายน้ำเป็นกระจุก มองคล้ายพวงองุ่น หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้วตัวเมียจะหาที่หลบซ่อนนอนนิ่งไม่ยอมกิน อะไร ระยะเวลาที่ตัวอ่อนใช้ในการพัฒนารูปร่างนั้นจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ปริมาณอาหาร และคุณภาพน้ำด้วย โดยเฉลี่ยไข่จะพัฒนาจนเป็นตัวอ่อนเหมือนโตเต็มวัยภายใน 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้น ลูกกุ้งจะถูกปล่อยให้ว่ายน้ำเป็นอิสระ ในการผสมพันธุ์แต่ละครั้งแม่กุ้งสามารถให้กุ้งได้มากถึง 300 ตัว ซึ่งพ่อแม่กุ้งไม่มีพฤติกรรมกินลูกกุ้งเป็นอาหาร และลูกกุ้งก็จะอยู่ไม่ห่างพ่อแม่นัก เพื่อคอยเก็บเศษอาหารที่เหลือจากพ่อแม่กินเป็นอาหารนั่นเอง
ตัวอ่อนของกุ้งเครย์ฟิช มีขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยจะกินเศษอาหารก้นตู้เป็นหลัก สามารถให้ไส้เดือนฝอย ไรทะเล เป็นอาหารเสริมได้ แต่ควรระวังเรื่องคุณภาพน้ำด้วย อย่าปล่อยเศษอาหารเหลือทิ้งจนเน่าเสีย ซึ่งควรให้อาหารให้เพียงพอ เพราะตัวอ่อนจะมีพฤติกรรมกินกันเอง
ตู้อนุบาลตัวอ่อนควรมีพื้นที่ และวัสดุหลบซ่อน โดยเฉพาะกระถางต้นไม้ เพราะในช่วงเดือนแรก ลูกกุ้งจะลอกคราบบ่อย ทำให้ลำตัวอ่อนนิ่ม และมีเปอร์เซ็นต์ถูกกินเป็นอาหารมากขึ้น เมื่อลูกกุ้งมีอายุประมาณ 1 เดือน จะเริ่มมีสีสันเหมือนตัวโตเต็มวัย
การลอกคราบเป็นขั้นตอนที่สำคัญใน การเจริญเติบโตของกุ้งเครย์ฟิช เพราะแสดงถึงขนาดลำตัวที่โตมากขึ้น ซึ่งลูกกุ้งจะลอกคราบเดือนละครั้ง โดยมีระยะห่างในการลอกคราบแต่ละครั้งจะยาวนานขึ้นเมื่อกุ้งเจริญเติบโตขึ้น และเมื่อกุ้งเครย์ฟิชโตเต็มที่จะลอกคราบเพียงปีละครั้งเท่านั้น ในการลอกคราบแต่ละครั้ง กุ้งเครย์ฟิชจะมีลำตัวนิ่มและอ่อนแอมาก จึงต้องหาที่ปลอดภัยสำหรับหลบซ่อนและค่อนข้างอยู่นิ่งๆ ประมาณ 2-3 วัน จนกว่าเปลือกจะแข็งเป็นปกติ
อย่างไรก็ตามนั้น หากเห็นว่ากุ้งเครย์ฟิชกำลังลอกคราบ ไม่ควรรบกวน เพราะอาจทำลายความต่อเนื่องของกระบวนการลอกคราบได้ หากกุ้งเครย์ฟิชตกใจอาจทำให้การลอกคราบไม่สมบูรณ์เต็มที่ โดยชิ้นส่วนของเปลือกชุดเก่ายังติดอยู่บริเวรก้าม ในขณะที่เปลือกชุดใหม่เริ่มแข็งตัว อาจทำให้เกิดความผิดปกติได้ อาทิ มีเปลือกสองชั้นทับกัน หรือก้ามบิดเบี้ยวผิดรูปได้
วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559
วิธีดูแลรักษาน้องหมาเวลาท้องเสีย ในเบื้องต้นเราควรทำอย่างไรบ้าง ???
วิธีดูแลรักษาน้องหมาเวลาท้องเสีย ในเบื้องต้นเราควรทำอย่างไรบ้าง
สุนัขหรือหมาเป็นทั้งเพื่อนและสัตว์เลี้ยงที่รู้ใจที่สุดสำหรับมนุษย์มาตั้งแต่โบราณมา เพราะมนุษย์นิยมเลี้ยงสุนัขไว้ตามบ้านบ้างเพื่อใช้งาน และบ้างเลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงาได้มาก ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นกับมันเราจึงสามารถสังเกตเห็นได้ดีที่สุดเลย อาการป่วยชนิดหนึ่งที่มักเกิดขึ้นกับสุนัขนั้นก็คืออาการท้องเสีย ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้นวันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการดูแลรักษาสุนัขที่มีอาการท้องเสียเบื้องต้นอย่างถูกวิธีกันเลยครับ
1. หากมีอาการอาเจียนแค่ครั้งเดียว และมีอาการท้องเสียถ่ายเหลวเพียงเล็กน้อย แต่ยังสามารถกินอาหารได้ปกติ และมีอาการร่าเริง ให้ลองสังเกตอาการโดยรวมทั่วไปดูก่อนว่า เพราะหากมีอาการไม่หนักมากนั้น สุนัขอาจจะหายจากอาการนี้ไปได้เอง แต่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดไปสักประมาณ 2-3 วัน ครับ
2. ท้องเสียเพราะเปลี่ยนอาหารนั้น หากเพิ่งเปลี่ยนชนิดของอาหารแล้วทำสุนัขเกิดอาการท้องเสียอย่างหนัก ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าอาหารใหม่ๆคือสาเหตุที่ อาจเพราะลำไส้ของสุนัขยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับอาหารชนิดใหม่ได้ ให้ลองเปลี่ยนไปเป็นอาหารชนิดเดิมดูก่อน ถ้ายังไม่หายต้องรีบนำไปพบสัตวแพทย์ด่วน เพื่อวินิจฉัยอาการและรักษากันอย่างถูกวิธีต่อไปครับ แต่ถ้าสุนัขท้องเสียเพราะไปคุ้ยกินเศษอาหารถามถังขยะ ให้จัดการเก็บถังขยะหรือปิดให้มิดชิด จากนั้นพาไปพบสัตวแพทย์ครับ
3. หากสุนัขมีอาการอาเจียนหลายๆรอบและมีอาการท้องเสีย อ่อนเพลีย ให้เจ้าของรีบพาไปพบสัตว์แพทย์ หรือสถานที่รักษาสัตว์ทั่วไปทันทีเลย เพราะอาการแบบนี้คือมักจะทำให้ร่างกายของสุนัขขาดน้ำ ร่างกายมีการสูญเสียเกลือแร่ แต่ถ้าหากยังไม่สามารถพาไปพบสัตวแพทย์ได้ทันที ให้เจ้าของสังเกตดูว่า หากมีอาการอาเจียนเพียงอย่างเดียวให้ลองงดน้ำหรืออาหารสัก 4-6 ชั่วโมงหรือ 24 ชั่วโมงก็ได้ถ้าพบว่ามีอาการท้องเสียร่วมด้วย แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้รีบพาไปพบสัตว์แพทย์โดยด่วนครับ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะร่างกายของสุนัขจะยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ และตายในที่สุดครับ อย่าช้า
4. เมื่อลองงดน้ำหรืออาหารแล้ว สุนัขไม่มีอาการอาเจียนหรือถ่ายท้องอีก ให้ป้อนน้ำผสมผงเกลือแร่ (Oral rehydration salts หรือ ORS) โดยเริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน และป้อนต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 20-30 นาที (ให้กินทีละนิด เพราะหากให้กินเข้าไปเยอะ จะอาเจียนออกมาได้อีก) และหลังจากลองป้อนน้ำดูแล้วพบว่าไม่มีอาการอาเจียนอีกนั้น ให้ลองป้อนอาหาร ดู อาจเป็นอาหารอ่อนๆ ไม่หนักมากดูก่อน และเมื่อพบว่าไม่มีอาการอาเจียนอีกหรือถ่ายท้องอีกแสดงว่าอาการกำลังเริ่มดีขึ้นนั่นเองครับ โดยมากไม่น่าเกิน 3 วันสุนัขก็จะหายเป็นปกตินั้นเอง
อย่างไรก็ตาม หากพบว่าสุนัขมีอาการท้องเสียเกิดขึ้น ทางที่ดีที่สุดนำไปพบสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำจะดีกว่านะครับ อย่างนิ่งนอนใจ และไม่ควรให้ยากับสุนัขเองโดยเด็ดขาด เพราะยาบางชนิดต้องได้รับในปริมาณที่เหมาะสมโดยคำสั่งจากสัตวแพทย์เท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดอาการเป็นพิษกับสุนัขได้นะครับ
สุนัขหรือหมาเป็นทั้งเพื่อนและสัตว์เลี้ยงที่รู้ใจที่สุดสำหรับมนุษย์มาตั้งแต่โบราณมา เพราะมนุษย์นิยมเลี้ยงสุนัขไว้ตามบ้านบ้างเพื่อใช้งาน และบ้างเลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงาได้มาก ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นกับมันเราจึงสามารถสังเกตเห็นได้ดีที่สุดเลย อาการป่วยชนิดหนึ่งที่มักเกิดขึ้นกับสุนัขนั้นก็คืออาการท้องเสีย ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้นวันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการดูแลรักษาสุนัขที่มีอาการท้องเสียเบื้องต้นอย่างถูกวิธีกันเลยครับ
1. หากมีอาการอาเจียนแค่ครั้งเดียว และมีอาการท้องเสียถ่ายเหลวเพียงเล็กน้อย แต่ยังสามารถกินอาหารได้ปกติ และมีอาการร่าเริง ให้ลองสังเกตอาการโดยรวมทั่วไปดูก่อนว่า เพราะหากมีอาการไม่หนักมากนั้น สุนัขอาจจะหายจากอาการนี้ไปได้เอง แต่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดไปสักประมาณ 2-3 วัน ครับ
2. ท้องเสียเพราะเปลี่ยนอาหารนั้น หากเพิ่งเปลี่ยนชนิดของอาหารแล้วทำสุนัขเกิดอาการท้องเสียอย่างหนัก ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าอาหารใหม่ๆคือสาเหตุที่ อาจเพราะลำไส้ของสุนัขยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับอาหารชนิดใหม่ได้ ให้ลองเปลี่ยนไปเป็นอาหารชนิดเดิมดูก่อน ถ้ายังไม่หายต้องรีบนำไปพบสัตวแพทย์ด่วน เพื่อวินิจฉัยอาการและรักษากันอย่างถูกวิธีต่อไปครับ แต่ถ้าสุนัขท้องเสียเพราะไปคุ้ยกินเศษอาหารถามถังขยะ ให้จัดการเก็บถังขยะหรือปิดให้มิดชิด จากนั้นพาไปพบสัตวแพทย์ครับ
3. หากสุนัขมีอาการอาเจียนหลายๆรอบและมีอาการท้องเสีย อ่อนเพลีย ให้เจ้าของรีบพาไปพบสัตว์แพทย์ หรือสถานที่รักษาสัตว์ทั่วไปทันทีเลย เพราะอาการแบบนี้คือมักจะทำให้ร่างกายของสุนัขขาดน้ำ ร่างกายมีการสูญเสียเกลือแร่ แต่ถ้าหากยังไม่สามารถพาไปพบสัตวแพทย์ได้ทันที ให้เจ้าของสังเกตดูว่า หากมีอาการอาเจียนเพียงอย่างเดียวให้ลองงดน้ำหรืออาหารสัก 4-6 ชั่วโมงหรือ 24 ชั่วโมงก็ได้ถ้าพบว่ามีอาการท้องเสียร่วมด้วย แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้รีบพาไปพบสัตว์แพทย์โดยด่วนครับ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะร่างกายของสุนัขจะยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ และตายในที่สุดครับ อย่าช้า
4. เมื่อลองงดน้ำหรืออาหารแล้ว สุนัขไม่มีอาการอาเจียนหรือถ่ายท้องอีก ให้ป้อนน้ำผสมผงเกลือแร่ (Oral rehydration salts หรือ ORS) โดยเริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน และป้อนต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 20-30 นาที (ให้กินทีละนิด เพราะหากให้กินเข้าไปเยอะ จะอาเจียนออกมาได้อีก) และหลังจากลองป้อนน้ำดูแล้วพบว่าไม่มีอาการอาเจียนอีกนั้น ให้ลองป้อนอาหาร ดู อาจเป็นอาหารอ่อนๆ ไม่หนักมากดูก่อน และเมื่อพบว่าไม่มีอาการอาเจียนอีกหรือถ่ายท้องอีกแสดงว่าอาการกำลังเริ่มดีขึ้นนั่นเองครับ โดยมากไม่น่าเกิน 3 วันสุนัขก็จะหายเป็นปกตินั้นเอง
อย่างไรก็ตาม หากพบว่าสุนัขมีอาการท้องเสียเกิดขึ้น ทางที่ดีที่สุดนำไปพบสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำจะดีกว่านะครับ อย่างนิ่งนอนใจ และไม่ควรให้ยากับสุนัขเองโดยเด็ดขาด เพราะยาบางชนิดต้องได้รับในปริมาณที่เหมาะสมโดยคำสั่งจากสัตวแพทย์เท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดอาการเป็นพิษกับสุนัขได้นะครับ
วิธีฝากเงินอย่างไรให้รวย ได้ดอกเบี้ยเยอะๆ
วิธีฝากเงินอย่างไรให้รวย ได้ดอกเบี้ยเยอะๆ
คนสมัยนี้นิยมฝากเงินเก็บไว้ในธนาคาร เพราะเป็นวิธีที่ทั้งปลอดภัยมาก และมีค่าตอบแทนให้ในรูปของดอกเบี้ย แต่หลายๆ คนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าต้องฝากแบบไหนกับธนาคารไหนจึงจะสามารถทำให้รวยได้ อธิบายอย่างนี้ครับ ในแต่ละธนาคารนั้นมีประเภทของเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจกับบัญชีแต่ละประเภทของธนาคารกันซะก่อน ที่จะตัดสินใจฝากเงินเก็บของคุณไว้กับบัญชีประเภทไหนดี
1. บัญชีออมทรัพย์ เป็นบัญชีที่เจ้าของบัญชีสามารถเบิกถอน หรือโอนไปไหนได้ตามสะดวกสะบาย ซึ่งข้อดีก็คือมีอิสระในการใช้งานได้อย่าเต็มที่ ไม่ว่าจะถอนหรือฝาก ไม่มีข้อจำกัดใดๆนั้น นอกจากวงเงินในบัญชีแล้ว แต่ข้อเสียก็คือบัญชีประเภทนี้มีอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก แถมยังถูกเก็บภาษีดอกเบี้ยอีกต่างหาก
2. บัญชีฝากประจำนั้น เป็นบัญชีที่กำหนดระยะเวลาการฝากถอน เช่น 3 เดือน , 6 เดือน หรือ 1 ปีก็ว่ากันไป ข้อจำกัดของบัญชีประเภทนี้จึงอยู่ที่การฝากถอน เพราะบัญชีประเภทนี้มักจะมีดอกเบี้ยสูง แต่ต้องถอนตามระยะเวลากำหนดเท่านั้นครับ ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ดอกเบี้ยเลย
3. บัญชีฝากออมทรัพย์แบบพิเศษ หมายถึง บัญชีที่ฝากแบบมีเงื่อนไขต่างๆ ตามเป้าหมายอะไรบางอย่าง คือ ผู้ฝากต้องฝากเงินในจำนวนเท่ากันทุกเดือนจนกว่าจะครบตามเป้าที่ตั้งไว้ ข้อดีคือให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากเงินแบบออมทรัพย์ธรรมดานั้น แต่ข้อเสียก็คือสามารถเบิกเงินได้เดือนละครั้งเท่านั้นเอง
เมื่อตัดสินในเลือกประเภทบัญชีที่จะฝากเงินแล้ว ผู้ฝากยังต้องจัดการเงินทั้งหมดที่มีออกเป็นประเภท เพื่อให้เป้าหมายของการฝากเงินนั้นมีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยการแบ่งเงินออกเป็นสามบัญชี คือ
1. บัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันบวกกับค่าใช้จ่ายยามฉุกเฉินต่างๆ ควรเป็นบัญชีออมทรัพย์ที่สามารถเบิกได้เสมอ ต่อมา และมีบัตรATM
2. บัญชีฝากประจำ ซึ่งควรเป็นเงินฝากระยะยาวเท่านั้น เพราะจะสามารถให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าได้นั้น แนะนำว่าควรนำเงินไปฝากเป็นประจำพร้อมโดยแบ่งจาก 10% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
3. บัญชีสำหรับการลงทุนต่างๆ เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิตเช่นการซื้อหุ้น ซื้อทองเพื่อเก็งกำไรเป็นต้นครับ บัญชีนี้ควรเป็นแบบฝากออมทรัพย์พิเศษ โดยผู้ฝากต้องฝากเงินเป็นประจำทุกๆเดือน ครับ
มีการวางแผนการเก็บออมและฝากเงินนั้น สามารถช่วยให้คุณเข้าสู่เป้าหมายคือความร่ำรวยได้ไม่ยากเลย ดังนั้นก็ขอให้เลือกฝากตามบัญชีที่เหมาะกับตนเองที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมีเหมือนกันหมด คือวินัยในเรื่องของการใช้เงินของตนเอง เพราะหากไม่มีวินัย และรู้จักการวางแผน ก็จะไม่สามารถทำให้เราไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้นั่นเอง เช่น บ้าน รถ อื่นๆ
คนสมัยนี้นิยมฝากเงินเก็บไว้ในธนาคาร เพราะเป็นวิธีที่ทั้งปลอดภัยมาก และมีค่าตอบแทนให้ในรูปของดอกเบี้ย แต่หลายๆ คนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าต้องฝากแบบไหนกับธนาคารไหนจึงจะสามารถทำให้รวยได้ อธิบายอย่างนี้ครับ ในแต่ละธนาคารนั้นมีประเภทของเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจกับบัญชีแต่ละประเภทของธนาคารกันซะก่อน ที่จะตัดสินใจฝากเงินเก็บของคุณไว้กับบัญชีประเภทไหนดี
1. บัญชีออมทรัพย์ เป็นบัญชีที่เจ้าของบัญชีสามารถเบิกถอน หรือโอนไปไหนได้ตามสะดวกสะบาย ซึ่งข้อดีก็คือมีอิสระในการใช้งานได้อย่าเต็มที่ ไม่ว่าจะถอนหรือฝาก ไม่มีข้อจำกัดใดๆนั้น นอกจากวงเงินในบัญชีแล้ว แต่ข้อเสียก็คือบัญชีประเภทนี้มีอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก แถมยังถูกเก็บภาษีดอกเบี้ยอีกต่างหาก
2. บัญชีฝากประจำนั้น เป็นบัญชีที่กำหนดระยะเวลาการฝากถอน เช่น 3 เดือน , 6 เดือน หรือ 1 ปีก็ว่ากันไป ข้อจำกัดของบัญชีประเภทนี้จึงอยู่ที่การฝากถอน เพราะบัญชีประเภทนี้มักจะมีดอกเบี้ยสูง แต่ต้องถอนตามระยะเวลากำหนดเท่านั้นครับ ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ดอกเบี้ยเลย
3. บัญชีฝากออมทรัพย์แบบพิเศษ หมายถึง บัญชีที่ฝากแบบมีเงื่อนไขต่างๆ ตามเป้าหมายอะไรบางอย่าง คือ ผู้ฝากต้องฝากเงินในจำนวนเท่ากันทุกเดือนจนกว่าจะครบตามเป้าที่ตั้งไว้ ข้อดีคือให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากเงินแบบออมทรัพย์ธรรมดานั้น แต่ข้อเสียก็คือสามารถเบิกเงินได้เดือนละครั้งเท่านั้นเอง
เมื่อตัดสินในเลือกประเภทบัญชีที่จะฝากเงินแล้ว ผู้ฝากยังต้องจัดการเงินทั้งหมดที่มีออกเป็นประเภท เพื่อให้เป้าหมายของการฝากเงินนั้นมีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยการแบ่งเงินออกเป็นสามบัญชี คือ
1. บัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันบวกกับค่าใช้จ่ายยามฉุกเฉินต่างๆ ควรเป็นบัญชีออมทรัพย์ที่สามารถเบิกได้เสมอ ต่อมา และมีบัตรATM
2. บัญชีฝากประจำ ซึ่งควรเป็นเงินฝากระยะยาวเท่านั้น เพราะจะสามารถให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าได้นั้น แนะนำว่าควรนำเงินไปฝากเป็นประจำพร้อมโดยแบ่งจาก 10% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
3. บัญชีสำหรับการลงทุนต่างๆ เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิตเช่นการซื้อหุ้น ซื้อทองเพื่อเก็งกำไรเป็นต้นครับ บัญชีนี้ควรเป็นแบบฝากออมทรัพย์พิเศษ โดยผู้ฝากต้องฝากเงินเป็นประจำทุกๆเดือน ครับ
มีการวางแผนการเก็บออมและฝากเงินนั้น สามารถช่วยให้คุณเข้าสู่เป้าหมายคือความร่ำรวยได้ไม่ยากเลย ดังนั้นก็ขอให้เลือกฝากตามบัญชีที่เหมาะกับตนเองที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมีเหมือนกันหมด คือวินัยในเรื่องของการใช้เงินของตนเอง เพราะหากไม่มีวินัย และรู้จักการวางแผน ก็จะไม่สามารถทำให้เราไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้นั่นเอง เช่น บ้าน รถ อื่นๆ
6 สัญญาณ บอกอาการของคนกำลังจะเป็นคุณแม่
6 สัญญาณ บอกอาการของคนกำลังจะเป็นคุณแม่
การสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์นั้นนอกจากสามีและภรรยาที่ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว ครอบครัวจะต้องมีความสมบูรณ์ครบก็ต่อเมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะเกิดมาลืมตาดูโลก คุณผู้หญิงคนไหนที่อยู่ในสถานะภรรยา มีครอบครัวที่พร้อม คงกำลังตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะมีเจ้าตัวน้อยมาวิ่งเล่นอยู่ในบ้านแล้วใช่ไหม เวลาผ่านไปอาจจะมีอาการบางอย่างมาทำให้คุณผู้หญิงหลายคนสงสัยว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์หรือไม่? ซึ่งมีอาการของคนกำลังตั้งครรภ์นั้นค่อนข้างซับซ้อนอยู่เหมือนกัน เพราะว่าแต่ละคนมีอาการที่มากน้อยไม่เท่ากัน แต่อาการที่เกิดขึ้นต่างๆจะคล้ายๆ กันดังต่อไปนี้
1. ประจำเดือนขาดเกิน 1 ถึง 2เดือน เมื่อไข่ของคุณผู้หญิงได้รับการผสมจากอสุจิของคุณผู้ชาย จะมีการฝังตัวของตัวอ่อนที่มดลูกเกิดขึ้น ทำให้ไม่มีประจำเดือนออกมา อาการเริ่มแรกที่คุณผู้หญิงสามารถสังเกตตัวเองได้ก็คือเรื่องของประจำเดือนนั้น แม้ขาดหรือว่าเกินกำหนดไปเพียงแค่วันเดียวก็สามารถตรวจสอบได้แล้วจ้า
2. อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า อยากนอน อยากพักผ่อนตลอดเวลา เมื่อร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ด้วยกลไกภายในต่างๆจะทำให้ร่างกายเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น อาการอ่อนเพลียจึงเกิดขึ้นได้เสมอจ้า คุณผู้หญิงจะรู้สึกเมื่อยอย่างบอกไม่ถูก อาจจะนอนมากกว่าปกติ มากกว่าคนทั่วไป
3. อาการเวียนหัว อาเจียนบ่อยๆ เหม็นอาหารหรือบางคนเหม็นสามี สังเกตอาการตัวเองได้ง่ายมากจากการรับประทานอาหาร ฮอร์โมนในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนจะรับรู้ว่ามีอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะเกิดใหม่ หรือที่เรียกว่าอาการแพ้ท้องนั่นเอง นอกจากร่างกายจะอ่อนเพลียแล้ว ช่วงนี้ก็ยังสามารถเวียนหัวและเป็นลมได้ง่าย เกิดอาการอาเจียนบ่อย ต้องดูแลตัวเอง
4. น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างในร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งน้ำหนัก ทั้งนี้อาจจะเป็นผลมาจากอาการแพ้ท้อง เพราะว่าช่วงเวลาที่แพ้ท้องนั้น คุณผู้หญิงจะรับประทานอาหารไม่ค่อยได้มากนัก เหม็นบ้าง กินแล้วจาเจียนออกหมดบ้าง หรือบางคนแม้กระทั่งน้ำเปล่าก็ไม่สามารถดื่มได้ ช่วงนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องดูแลตัวเองมากที่สุดเลยจ้า
5. หงุดหงิดง่าย โมโหง่าย โวยวาย อารมณ์ร้อน ฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงไปจะเกิดอากาคล้ายๆ กับตอนที่กำลังจะมีประจำเดือน จะรู้สึกว่าทุกอย่างไม่ดี หงุดหงิดบ่อยๆ โกรธแบบไม่มีที่มา ไม่มีเหตุผล ซึ่งต้องหมั่นตรวจสอบอารมณ์ตัวเองอยู่บ่อยๆ จะได้รู้ว่าตอนนี้คุณกำลังตั้งครรภ์อยู่หรือไม่? รวมไปถึงอาการเจ็บคัดเต้านมอยู่บ่อยๆ หรือมีอาการแน่นหน้าอกร่วมด้วยเหมือนตอนที่กำลังจะมีประจำเดือนมา
6. อาการปัสสาวะบ่อยๆ ท้องผูก เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตเกิดขึ้นมา มดลูกที่มีการเริ่มขยายตัวขึ้นก็จะไปเบียดตัวกับกระเพาะปัสสาวะทำให้ต้องปัสสาวะบ่อย ทางเดินอาหารก็เปลี่ยนแปลงไป ระบบย่อยอาหารก็เปลี่ยนไปเพราะอีกหนึ่งชีวิตในท้อง หรือบางครั้งก็มาจากที่คุณแม่ทานยาบำรุงต่างๆ หรือไม่อาหารบางอย่างที่สร้างแก๊สในกระเพาะมากได้ เพราะว่าคนท้องจะท้องอืดง่ายอยู่แล้วจ้า
คุณผู้หญิงท่านใดที่กำลังตั้งครรภ์อยู่มักจะมีอาการดังที่กล่าวมาแล้ว แต่สำหรับใครที่กำลังสงสัยอยู่นั้น ลองสังเกตอาการของตัวเองดูว่าเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างนะจ้า เมื่อรู้ตัวให้รีบพบแพทย์ในทันทีเพื่อที่จะได้รับคำแนะนำที่ดีและปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องในช่วงตั้งครรภ์ และอีกอย่างต้องอย่าลืมไปฝากท้องด้วยนะจ๊ะ
การสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์นั้นนอกจากสามีและภรรยาที่ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว ครอบครัวจะต้องมีความสมบูรณ์ครบก็ต่อเมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะเกิดมาลืมตาดูโลก คุณผู้หญิงคนไหนที่อยู่ในสถานะภรรยา มีครอบครัวที่พร้อม คงกำลังตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะมีเจ้าตัวน้อยมาวิ่งเล่นอยู่ในบ้านแล้วใช่ไหม เวลาผ่านไปอาจจะมีอาการบางอย่างมาทำให้คุณผู้หญิงหลายคนสงสัยว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์หรือไม่? ซึ่งมีอาการของคนกำลังตั้งครรภ์นั้นค่อนข้างซับซ้อนอยู่เหมือนกัน เพราะว่าแต่ละคนมีอาการที่มากน้อยไม่เท่ากัน แต่อาการที่เกิดขึ้นต่างๆจะคล้ายๆ กันดังต่อไปนี้
1. ประจำเดือนขาดเกิน 1 ถึง 2เดือน เมื่อไข่ของคุณผู้หญิงได้รับการผสมจากอสุจิของคุณผู้ชาย จะมีการฝังตัวของตัวอ่อนที่มดลูกเกิดขึ้น ทำให้ไม่มีประจำเดือนออกมา อาการเริ่มแรกที่คุณผู้หญิงสามารถสังเกตตัวเองได้ก็คือเรื่องของประจำเดือนนั้น แม้ขาดหรือว่าเกินกำหนดไปเพียงแค่วันเดียวก็สามารถตรวจสอบได้แล้วจ้า
2. อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า อยากนอน อยากพักผ่อนตลอดเวลา เมื่อร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ด้วยกลไกภายในต่างๆจะทำให้ร่างกายเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น อาการอ่อนเพลียจึงเกิดขึ้นได้เสมอจ้า คุณผู้หญิงจะรู้สึกเมื่อยอย่างบอกไม่ถูก อาจจะนอนมากกว่าปกติ มากกว่าคนทั่วไป
3. อาการเวียนหัว อาเจียนบ่อยๆ เหม็นอาหารหรือบางคนเหม็นสามี สังเกตอาการตัวเองได้ง่ายมากจากการรับประทานอาหาร ฮอร์โมนในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนจะรับรู้ว่ามีอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะเกิดใหม่ หรือที่เรียกว่าอาการแพ้ท้องนั่นเอง นอกจากร่างกายจะอ่อนเพลียแล้ว ช่วงนี้ก็ยังสามารถเวียนหัวและเป็นลมได้ง่าย เกิดอาการอาเจียนบ่อย ต้องดูแลตัวเอง
4. น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างในร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งน้ำหนัก ทั้งนี้อาจจะเป็นผลมาจากอาการแพ้ท้อง เพราะว่าช่วงเวลาที่แพ้ท้องนั้น คุณผู้หญิงจะรับประทานอาหารไม่ค่อยได้มากนัก เหม็นบ้าง กินแล้วจาเจียนออกหมดบ้าง หรือบางคนแม้กระทั่งน้ำเปล่าก็ไม่สามารถดื่มได้ ช่วงนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องดูแลตัวเองมากที่สุดเลยจ้า
5. หงุดหงิดง่าย โมโหง่าย โวยวาย อารมณ์ร้อน ฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงไปจะเกิดอากาคล้ายๆ กับตอนที่กำลังจะมีประจำเดือน จะรู้สึกว่าทุกอย่างไม่ดี หงุดหงิดบ่อยๆ โกรธแบบไม่มีที่มา ไม่มีเหตุผล ซึ่งต้องหมั่นตรวจสอบอารมณ์ตัวเองอยู่บ่อยๆ จะได้รู้ว่าตอนนี้คุณกำลังตั้งครรภ์อยู่หรือไม่? รวมไปถึงอาการเจ็บคัดเต้านมอยู่บ่อยๆ หรือมีอาการแน่นหน้าอกร่วมด้วยเหมือนตอนที่กำลังจะมีประจำเดือนมา
6. อาการปัสสาวะบ่อยๆ ท้องผูก เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตเกิดขึ้นมา มดลูกที่มีการเริ่มขยายตัวขึ้นก็จะไปเบียดตัวกับกระเพาะปัสสาวะทำให้ต้องปัสสาวะบ่อย ทางเดินอาหารก็เปลี่ยนแปลงไป ระบบย่อยอาหารก็เปลี่ยนไปเพราะอีกหนึ่งชีวิตในท้อง หรือบางครั้งก็มาจากที่คุณแม่ทานยาบำรุงต่างๆ หรือไม่อาหารบางอย่างที่สร้างแก๊สในกระเพาะมากได้ เพราะว่าคนท้องจะท้องอืดง่ายอยู่แล้วจ้า
คุณผู้หญิงท่านใดที่กำลังตั้งครรภ์อยู่มักจะมีอาการดังที่กล่าวมาแล้ว แต่สำหรับใครที่กำลังสงสัยอยู่นั้น ลองสังเกตอาการของตัวเองดูว่าเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างนะจ้า เมื่อรู้ตัวให้รีบพบแพทย์ในทันทีเพื่อที่จะได้รับคำแนะนำที่ดีและปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องในช่วงตั้งครรภ์ และอีกอย่างต้องอย่าลืมไปฝากท้องด้วยนะจ๊ะ
วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559
วิธีทำน้ำพริกกะปิ
น้ำพริกกะปิ
น้ำพริกกะปิ นับเป็นอาหารที่คนไทยนิยมรับประทานน้ำพริกกะปิ คู่กับผักลวก หรือกับข้าวสวย หรือบางคนชอบทาน น้ำพริกกะปิกับทอดปลาทู และผักลวก นับว่าเป็นอาหารที่ทานเมื่อไหร่ก็ไม่เบื่อเลย
วัถุดิบอุปกรณ์
1.พริกขี้หนู เขียว,แดง
2.กะปิ
3.น้ำตาลทราย,น้ำตาลปีบ
4.กระเทียม
5.มะนาว
6.มะเขือต่างๆ(ตามใจชอบ)
7.น้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว
8.ครก,สาก
วิธีตำ
1.ล้างพริกล้างมะนาวและมะเขือด้วยน้ำสะอาด
2.ตำพริก ตำกระเทียม ให้ละเอียด (ใส่มากน้อยตามใจชอบ)
3.ใส่น้ำตาลทรายหรือน้ำตาลปีบลงไป (ตามใจชอบ)
4.ใส่กะปิลงไปแล้วตำให้เข้ากัน
5.เทน้ำที่เตรียมไว้ลงไปใส่ครก
6.ซอยพริก ซอยมะเขือ เทลงไปในครก
7.บีบมะนาว ที่เตรียมไว้ใส่ลงไป ตามใจชอบ
8.เติมพริก เติมมะนาว และน้ำตาล ตามรสที่ชอบ
9.เทใส่ภาชนะ ที่เตรียมไว้พร้อมรับประทาน
น้ำพริกกะปิ นับเป็นอาหารที่คนไทยนิยมรับประทานน้ำพริกกะปิ คู่กับผักลวก หรือกับข้าวสวย หรือบางคนชอบทาน น้ำพริกกะปิกับทอดปลาทู และผักลวก นับว่าเป็นอาหารที่ทานเมื่อไหร่ก็ไม่เบื่อเลย
วัถุดิบอุปกรณ์
1.พริกขี้หนู เขียว,แดง
2.กะปิ
3.น้ำตาลทราย,น้ำตาลปีบ
4.กระเทียม
5.มะนาว
6.มะเขือต่างๆ(ตามใจชอบ)
7.น้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว
8.ครก,สาก
วิธีตำ
1.ล้างพริกล้างมะนาวและมะเขือด้วยน้ำสะอาด
2.ตำพริก ตำกระเทียม ให้ละเอียด (ใส่มากน้อยตามใจชอบ)
3.ใส่น้ำตาลทรายหรือน้ำตาลปีบลงไป (ตามใจชอบ)
4.ใส่กะปิลงไปแล้วตำให้เข้ากัน
5.เทน้ำที่เตรียมไว้ลงไปใส่ครก
6.ซอยพริก ซอยมะเขือ เทลงไปในครก
7.บีบมะนาว ที่เตรียมไว้ใส่ลงไป ตามใจชอบ
8.เติมพริก เติมมะนาว และน้ำตาล ตามรสที่ชอบ
9.เทใส่ภาชนะ ที่เตรียมไว้พร้อมรับประทาน
Pokémon GO ต้องรู้จริงรู้รอบเกมส์
ดาวน์โหลดเกมส์โปเกม่อนต่อสู้กันหรือยัง? เพราะนี่ไม่ใช่แค่เกมมือถือธรรมดา แต่คือโลกใหม่ที่คุณต้องเรียนรู้ และเราก็มีข้อมูลแน่นแบบไม่ตกเทรนด์มาแล้วจ้า!
เปิดตัวในไทยออกมาอย่างเป็นทางการแล้วกับ Pokémon GO เกมโปเกม่อนบนสมาร์ทโฟนเกมส์แรกที่แฟนๆ ต่างก็เฝ้ารอมานานแสนนาน และด้วยรูปแบบการเล่นอันแปลกใหม่นั้นได้ทำให้เกมนี้โด่งดังและสร้างกระแสฟีเวอร์ไปทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย เสิร์ชเอ็นจิ้น Skyscanner จึงไม่พลาดนำรีบไปค้นคว้าแล้วนำข้อมูลเกี่ยวกับโปเกม่อนออนไลน์เกมนี้ มาให้คุณได้ทำความรู้จักตั้งแต่ประวัติ รูปแบบการเล่น วิธีการตามจับโปเกม่อนให้ได้ และข้อมูลรอบด้านที่ควรรู้ ที่แม้จะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ก็สามารถหลงรักและสนุกไปกับตัวโปเกม่อนในเกมนี้ได้ไม่ยากเลยครับ
โปเกม่อนคืออะไร?
โปเกม่อน (Pokémon – Pocket Monsters) เป็นเกมส์และการ์ตูนที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวครั้งแรกในรูปแบบของเกมส์ตลับในเครื่องเล่นเกมบอยเด็กเล่นเมื่อปี ค.ศ. 1996 หรือ 20 ปีที่แล้ว โดยจำลองเกมเป็นโลกของสัตว์ประหลาด (มอนสเตอร์) ในรูปร่างต่างๆ ทั้งน่ารักและน่าเกรงขามน่ากลัว เพื่อให้ผู้เล่นเกมได้สวมบทเป็นเทรนเนอร์ไปค้นหา ตามจับมาเลี้ยง และนำโปเกม่อนมาประลองความสามารถกัน ความสำเร็จของเกมโปเกม่อนทำให้มีทั้งการ์ตูนอะนิเมะ=ชั่น หนังสือการ์ตูน ของเล่น และมีเกมส์โปเกม่อนต่อสู้ (แบบเกมตลับ) ตามออกมาอีกหลายเวอร์ชั่น และจนถึงเกมภาคปัจจุบัน (Pokémon XY) ก็รวมแล้วมีโปเกม่อนทั้งหมดมากกว่า 700 ชนิดแล้วจ้า
ทำความรู้จักกับ Pokémon GO
Pokémon GO ถือว่าเป็นเกมโปเกม่อนเกมแรกที่เล่นได้ในสมาร์ทโฟนอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะจำลองให้ผู้เล่นเกมเป็นเทรนเนอร์ตามจับโปเกม่อนคล้ายกับเกมตลับของต้นฉบับกันเลย แต่ว่าสร้างความแตกต่างให้มากกว่าด้วยรูปแบบการเล่นผ่านการเดินบนแผนที่จริงด้วยระบบ GPS และตามหาโปเกม่อนที่ซ่อนตัวอยู่ในโลกจริงนั้นเอง ผู้เล่นสามารถเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพื่อตามจับโปเกม่อน แข่งขันกับผู้อื่นผ่านระบบยิม (Gym) แบบออนไลน์ และใช้ระบบ AR (Augmented Reality) เพื่อให้โปเกม่อนออกมาโลดแล่นอยู่ในโลกจริงผ่านหน้าจอโทรศัพท์มือถือของคุณได้แบบแปลกใหม่
เตรียมตัวเล่นเกม
เกมส์โปเกม่อนจำเป็นต้องใช้สมาร์ทโฟนและเปิดระบบ GPS ขณะเล่นเกม โดยปัจจุบันสามารถเล่นได้จาก 2 ระบบปฏิบัติการทั้งเกมโปเกม่อน iPhone และใน Android ซึ่งต้องดาวน์โหลดแอพเกมโปเกม่อนของแต่ละระบบมาติดตั้งในเครื่องก่อน ดังนี้ - ดาวน์โหลดโปเกม่อน ไอโฟน ได้ที่ App Store - ดาวน์โหลดโปเกม่อน แอนดรอยด์ ได้ที่ Google Play Store เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วก็เพียงใช้ Google Account (ผู้ใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์จะเข้าเล่นได้เลย) หรือสมัครบัญชีผู้ใช้ของ Google หรือ Pokémon Trainer Club ใหม่ แล้วลงชื่อเข้าใช้ จากนั้นก็เตรียมตัวออกเดินทางตามหาโปเกม่อนและเก็บไอเท็มจาก PokéStop ต่างๆ ในแผนที่ได้เลยครับ
ข้อมูลเพิ่มเติม: สำหรับประเทศไทย PokéStop หรือเสาเก็บไอเท็มส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ตรงตำแหน่งของศาลพระภูมิ ปั้มน้ำมัน หรือศูนย์การค้า บางครั้งยังมีที่กุฎิเจ้าอาวาส ซึ่งผู้พัฒนาอ้างอิงตำแหน่งมาจากเกม Ingress ที่มีลักษณะการเล่นคล้ายเกม Pokémon GO และถูกพัฒนามาก่อนหน้านี้
การตามหาโปเกม่อน
ความแปลกใหม่ของเกม Pokémon GO ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้เล่นทั่วโลกนั้นก็คือการเดินทางเพื่อค้นหาและจับโปเกม่อน ซึ่งไม่ใช่แค่การเล่นอยู่แค่ในละแวกบ้านหรือจุดใดจุดหนึ่ง แต่เป็นการเดินทางเพื่อค้นหาในสถานที่ไกลๆ เช่นสถานที่ท่องเที่ยว แหล่งชุมชน และแลนด์มาร์กคที่มีชื่อเสียง เช่น วัด ศาลพระภูมิ โรงพยาบาล ในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น โดยการตามจับโปเกม่อนนั้นไม่ยุ่งยาก และมีวิธีง่ายๆ ดังนี้
แค่เดิน...เดี๋ยวโปเกม่อนก็มา
เพราะการเดินคือหัวใจของเกมส์นี้ และคุณจะพบเห็นโปเกม่อนได้ก็ต่อเมื่อถือเกมออกเดินไปยังพื้นที่ต่างๆ เท่านั้น โดยมุมซ้ายล่างของหน้าจอเกมจะมีกล่อง “Sightings” ที่แสดงให้เห็นถึงโปเกม่อนในบริเวณใกล้เคียงกับตำแหน่งที่คุณอยู่ ที่คุณต้องทำก็แค่เดินหา เดี๋ยวโปเกม่อนก็จะปรากฏตัวขึ้นเองครับ
ฟักไข่เพื่อพบกับโปเกม่อนที่แตกต่าง
เนื่องจากการเดินเฉยๆ เพื่อหาโปเกม่อนนั้นอาจทำให้คุณไม่ได้โปเกม่อนที่แปลกใหม่หรือแตกต่างไปจากเดิม เกมส์โปเกม่อนจึงมีระบบ “ฟักไข่” เพื่อให้กำเนิดโปเกม่อนใหม่ๆ ออกมา โดยไข่นั้นได้จากการสุ่มของจากเสา PokéStop ซึ่งเมื่อได้รับมาแล้วจะถูกเก็บอยู่ในเมนู Pokémon ของเกม โดยไข่แต่ละฟองจะมีระยะทางเป็นกิโลเมตรกำหนดไว้ จากนั้นคุณก็นำไข่ใส่เข้ากับ “Egg Incubator” หรือเครื่องฟักไข่ แล้วเดินไปเรื่อยๆ เพื่อตามหาโปเกม่อนหรือทำอะไรก็ตาม ไข่ก็จะค่อยๆ นับระยะจากการเดินของคุณจนครบแล้วฟักออกมาเป็นตัวครับ
คำแนะนำพิเศษ: มีหลายวิธีที่ช่วยให้ไข่ฟักได้โดยไม่ต้องเดินจริงๆ ด้วยเทคนิคการขยับโทรศัพท์ไปมาตามความสะดวก แต่โปรดทราบว่าเกมส์จะไม่นับระยะทางเพิ่มหากปิดหน้าจอหรือปิดเกมไปแล้ว
ใช้ไอเท็มช่วยตามจับโปเกม่อน
ในเกมมีไอเท็มที่จะช่วยให้คุณค้นหาโปเกม่อนได้ง่ายขึ้นอยู่ 2 ชนิด โดยชิ้นแรกที่ใช้ง่ายที่สุดคือ “Incense” ใช้งานกับตัวละครของคุณเอง อาจเป็นเครื่องดึงดูดโปเกม่อนให้เข้ามาอยู่ในระยะใกล้ตัว ทำให้ตามหาโปเกม่อนได้ง่ายกว่าปกติ และอีกชิ้นคือ “Lure Module” ใช้งานกับเสา PokéStop เพื่อให้เสานั้นดึงดูดโปเกม่อนให้เข้ามาอยู่ในระยะรอบเสา
ออกเที่ยวเพื่อพบกับโปเกม่อนใหม่ๆ
เจตนารมณ์หนึ่งของผู้สร้างเกมโปเกม่อนคือการให้ผู้เล่นได้ออกเดินทางค้นหาโปเกม่อนใหม่ๆ พบกับสังคมใหม่ๆ และมีกิจกรรมในการเดินทางที่สนุกสนาน การจะจับโปเกม่อนให้หลากหลายนั้นจึงหนีไม่พ้นการท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งใกล้และไกล เพื่อเสาะหาโปเกม่อนแต่ละประเภทที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่สอดคล้องกับธาตุของโปเกม่อนเหล่านั้น ยกตัวอย่างเช่น การเที่ยวทะเลก็จะเจอกับโปเกม่อนธาตุน้ำ และการเที่ยวป่าก็จะเจอกับโปเกม่อนธาตุพืช ซึ่งคุณสามารถนำโปเกม่อนมาเป็นแรงบันดาลใจในการจัดทริปเที่ยวทั้งในและต่างประเทศแบบราคาประหยัดได้ ซึ่งเสิร์ชเอ็นจิ้น Skyscanner ก็มีระบบค้นหาตั๋วเครื่องบินและที่พักราคาถูกให้คุณได้เปิดโลกใหม่ๆ และเพิ่มโอกาสในการจับโปเกม่อนให้ครบทุกตัวครับผม
วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559
แอปเปิ้ลผลไม้มหัศจรรย์
ถ้าจะพูดถึงแอปเปิ้ล (Apple) ผมเชื่อว่าต้องเป็นผลไม้แสนโปรดของใครหลายๆ คนอย่างแน่นอนเลยทีเดียว โดยแอปเปิ้ลนี้ชาวจีนมักเรียกกันว่า ไหนจือ, เทียวห่วมจื้อ หรือเผ่งปอ เป็นต้น โดยจัดเป็นพืชที่อยู่ในตระกูลเดียวกับสาลี่ เรียกว่าเป็นพืชดั้งเดิมของทางฝั่งยุโรปเลยก็ว่าได้ ซึ่งในปัจจุบันชาวจีนมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้ผลิตแอปเปิ้ลรายใหญ่ชนิดที่เรียกว่าเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว และชาวจีนส่วนใหญ่นอกจากจะนำแอปเปิ้ลมารับประทานเป็นผลไม้อันทรงคุณค่าแล้ว ยังนำมารับประทานเป็นยาทางสมุนไพรอีกด้วย ด้วยรสชาติหวานอมเปรี้ยวแสนอร่อย บวกกับสรรพคุณต่างๆ มากมาย จึงทำให้แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกเลยทีเดียวครับ
ลักษณะทั่วไปของแอปเปิ้ลกินเราทานกัน
สำหรับแอปเปิ้ลนั้นจัดเป็นไม้ยืนต้นที่มีขนาดเล็ก โดยมีความสูงของลำต้นประมาณ 3 – 12 เมตร มีกิ่งอยู่หนาแน่น มีใบเป็นรูปไข่ยาวรีออกแบบเรียงสลับกัน บริเวณปลายใบจะแหลม ส่วนขอบดูหยักเหมือนฟันเลื่อย รวมทั้งมีขนขึ้นปกคลุกเล็กน้อย ส่วนดอกนั้นจะมีสีขาวแต้มสีชมพู และจะกลายเป็นสีเข้มมากขึ้นขณะดอกใกล้ร่วงโรย โดยในแต่ละช่อนั้นจะมีดอกอยู่ประมาณ 3 – 7 ดอก และผลของแห้วจะมีลักษณะกลมแบนเล็กน้อย ซึ่งบริเวณก้นผลจะเป็นรอยบุ๋มลึกลงไป
ประโยชน์และสรรพคุณของแอปเปิ้ล
- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้ขาวกระจ่างใส ปราศจากสิว ฝ้า และริ้วรอยแห่งวัย เรียกว่าต้านทานความชรากันแบบสุดๆ
- ช่วยให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จนมีการกล่าวขานว่ารับประทานแอปเปิลวันละผลช่วยให้ชีวิตยืนยาวและห่างไกลโรค
- ช่วยขับของเสียและสารพิษต่างๆ ที่ตกค้างอยู่ภายในร่างกายออกไป
- ช่วยให้ระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในเลือดเป็นปกติ
- ช่วยป้องกันอาการหลอดเลือดตีบหรืออักเสบในสมองแบบเฉียบพลันได้
- ช่วยแก้อาการร้อนในและกระหายน้ำ
- ช่วยให้กระเพาะสามารถย่อยอาหารได้เป็นปกติ
- ช่วยให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น ท้องไม่ผูก และไม่เสี่ยงต่อโรคริดสีดวงทวาร
- ช่วยป้องกันและบรรเทาโรครูมาตอยด์ และโรคเกาต์ ที่ปวดตามข้อต่างๆ ทั่วร่างกาย
- ช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน หรืออาการแพ้ท้องของผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์
วิธีการนำแอปเปิ้ลมารับประทาน
- ให้นำแอปเปิ้ลมารับประทานแบบผลสด หรือคั้นน้ำรับประทาน จะช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในมีค่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ให้นำแอปเปิ้ลมาตุ๋นกับน้ำผึ้งจะช่วยแก้อาการปากแห้งหรือไอ โดยเฉพาะดีต่อคนที่สูบบุหรี่จัด
- ให้นำชาผงแอปเปิ้ลมาต้มดื่มรับประทานจะช่วยรักษาอาการท้องเสีย หรือลำไส้อักเสบ
นับว่าเป็นผลไม้ที่มหัศจรรย์จริงๆครับ
เห็ดตับเต่าเห็ดของป่า ของบ้านๆ มีประโยชน์และสรรพคุณ
เห็ดตับเต่าเห็ดของป่า ของบ้านๆ มีประโยชน์และสรรพคุณ
สำหรับคนที่อยู่ตามชนบท หากพูดถึงเห็ดตับเต่าแล้ว เชื่อว่าต่างต้องรู้จักและคุ้นเคยกับเห็ดชนิดนี้กันเป็นอย่างดีเลยทีเดียว ซึ่งเห็ดตับเต่านั้นเป็นเห็ดที่สามารถหารับประทานกันได้ง่ายมากๆ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน โดยเป็นเห็ดที่ผู้คนนิยมนำมาประกอบอาหารรับประทานกันเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าราคานั้นค่อนข้างแพงอยู่ทีเดียว ประมาณกิโลกรัมละเกือบถึงร้อยบาททีเดียว
ลักษณะทั่วไปของเห็ดตับเต่า
ลักษณะโดยทั่วไปของเห็ดตับเต่านั้นตรงบริเวณหมวกเห็ดจะมีรูปทรงเหมือนหรือคล้ายกับกระทะคว่ำ โดยเมื่อดอกยังอ่อนจะมีขนละเอียดๆ สีน้ำตาล ลักษณะเหมือนผ้ากำมะหยี่ขึ้นปกคลุมอยู่ แต่เมื่อดอกบานจนสุดแล้วตรงกลางของหมวกเห็ดจะเป็นสีน้ำตาลแกมเหลือง เว้าลงไปเล็กน้อย และปริแตกเป็นแห่งๆ ส่วนบริเวณด้านล่างของหมวกเห็ดจะเป็นสีเหลือง มีรูเล็กๆ กลมๆ อยู่ ซึ่งเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกันอยู่ และบริเวณก้านของดอกเห็ดนั้นจะค่อนข้างอวบใหญ่เป็นสีน้ำตาลแกมเหลือง โดยตรงโคนของก้านเห็ดจะโป่งเป็นกระเปาะ และเนื้อของเห็ดชนิดนี้จะมีสีน้ำเงินแกมเขียว
ประโยชน์และสรรพคุณต่างๆ ของเห็ดตับเต่า
- ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ปราศจากโรคภัยต่างๆ
- ช่วยบำรุงให้มีกำลังวังชา ไม่อ่อนแรง
- ช่วยทำให้ระบบหัวใจ, ปอด และตับ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ช่วยให้ระบบเลือดภายในร่างกายหมุนเวียนได้ดี
- ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ดี
- ช่วยทำให้อาการปวดตามข้อ, กระดูก หรือเส้นเอ็นต่างๆ ภายในร่างกายบรรเทาเบาบางลงได้
- ช่วยแก้โรคชักกระตุกได้
- ช่วยบรรเทาหรือลดไข้ได้ดี
- ช่วยบรรเทาอาการเคล็ดขัดยอก
ตัวอย่างเมนูอาหารของเห็ดตับเต่า
- แกงเผ็ดเห็ดตับเต่า
- ผัดเห็ดตับเต่าน้ำมันหอย
- ลาบเห็ดตับเต่า
- ยำเห็ดตับเต่า
- ต้มยำเห็ดตับเต่า
- แกงคั่วเห็ดตับเต่า
- แกงส้มเห็ดตับเต่า
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเห็ดตับเต่านั้นมีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว และหลายคนก็นิยมบริโภคเห็ดชนิดนี้กันเป็นจำนวนมาก และเนื่องจากว่าเห็ดชนิดนี้มักชอบขึ้นในช่วงฤดูฝนและหายาก ซึ่งทำให้เราต้องเลือกดูเห็ดกันให้ดี เพราะเห็ดที่มีพิษส่วนมากก็มักจะชอบขึ้นในช่วงฤดูฝนเช่นกัน อาจทำให้มีเห็ดพิษปะปนมากับเห็ดตับเต่าได้ และมีคนกินเห็ดพิษหรือภาษาอิสานเรียก"เห็ดผีเบื่อ" โปรดระวังให้ดีครับผม
สำหรับคนที่อยู่ตามชนบท หากพูดถึงเห็ดตับเต่าแล้ว เชื่อว่าต่างต้องรู้จักและคุ้นเคยกับเห็ดชนิดนี้กันเป็นอย่างดีเลยทีเดียว ซึ่งเห็ดตับเต่านั้นเป็นเห็ดที่สามารถหารับประทานกันได้ง่ายมากๆ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน โดยเป็นเห็ดที่ผู้คนนิยมนำมาประกอบอาหารรับประทานกันเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าราคานั้นค่อนข้างแพงอยู่ทีเดียว ประมาณกิโลกรัมละเกือบถึงร้อยบาททีเดียว
ลักษณะทั่วไปของเห็ดตับเต่า
ลักษณะโดยทั่วไปของเห็ดตับเต่านั้นตรงบริเวณหมวกเห็ดจะมีรูปทรงเหมือนหรือคล้ายกับกระทะคว่ำ โดยเมื่อดอกยังอ่อนจะมีขนละเอียดๆ สีน้ำตาล ลักษณะเหมือนผ้ากำมะหยี่ขึ้นปกคลุมอยู่ แต่เมื่อดอกบานจนสุดแล้วตรงกลางของหมวกเห็ดจะเป็นสีน้ำตาลแกมเหลือง เว้าลงไปเล็กน้อย และปริแตกเป็นแห่งๆ ส่วนบริเวณด้านล่างของหมวกเห็ดจะเป็นสีเหลือง มีรูเล็กๆ กลมๆ อยู่ ซึ่งเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกันอยู่ และบริเวณก้านของดอกเห็ดนั้นจะค่อนข้างอวบใหญ่เป็นสีน้ำตาลแกมเหลือง โดยตรงโคนของก้านเห็ดจะโป่งเป็นกระเปาะ และเนื้อของเห็ดชนิดนี้จะมีสีน้ำเงินแกมเขียว
ประโยชน์และสรรพคุณต่างๆ ของเห็ดตับเต่า
- ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ปราศจากโรคภัยต่างๆ
- ช่วยบำรุงให้มีกำลังวังชา ไม่อ่อนแรง
- ช่วยทำให้ระบบหัวใจ, ปอด และตับ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ช่วยให้ระบบเลือดภายในร่างกายหมุนเวียนได้ดี
- ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ดี
- ช่วยทำให้อาการปวดตามข้อ, กระดูก หรือเส้นเอ็นต่างๆ ภายในร่างกายบรรเทาเบาบางลงได้
- ช่วยแก้โรคชักกระตุกได้
- ช่วยบรรเทาหรือลดไข้ได้ดี
- ช่วยบรรเทาอาการเคล็ดขัดยอก
ตัวอย่างเมนูอาหารของเห็ดตับเต่า
- แกงเผ็ดเห็ดตับเต่า
- ผัดเห็ดตับเต่าน้ำมันหอย
- ลาบเห็ดตับเต่า
- ยำเห็ดตับเต่า
- ต้มยำเห็ดตับเต่า
- แกงคั่วเห็ดตับเต่า
- แกงส้มเห็ดตับเต่า
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเห็ดตับเต่านั้นมีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว และหลายคนก็นิยมบริโภคเห็ดชนิดนี้กันเป็นจำนวนมาก และเนื่องจากว่าเห็ดชนิดนี้มักชอบขึ้นในช่วงฤดูฝนและหายาก ซึ่งทำให้เราต้องเลือกดูเห็ดกันให้ดี เพราะเห็ดที่มีพิษส่วนมากก็มักจะชอบขึ้นในช่วงฤดูฝนเช่นกัน อาจทำให้มีเห็ดพิษปะปนมากับเห็ดตับเต่าได้ และมีคนกินเห็ดพิษหรือภาษาอิสานเรียก"เห็ดผีเบื่อ" โปรดระวังให้ดีครับผม
DHA คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรน๊า
DHA คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรน๊า ลองอ่านดู
DHA (Docosahexaenoic Acid) คือกรดไขมันชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์อย่างมาก โดยอยู่ในกลุ่มของสารโอเมก้า 3 ซึ่งร่างกายของเราไม่สามารถผลิตหรือสังเคราะห์ขึ้นมาได้เอง ดังนั้น จึงต้องได้รับสารอาหารชนิดนี้จากการรับประทานอาหารที่มีสารโอเมก้า 3 เข้าไปเท่านั้นเอง โดยส่วนใหญ่สารนี้จะอยู่ในอาหารประเภทปลาต่างๆ อย่างปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน, ทูน่า เป็นต้น หรือในปลาน้ำจืด เช่น ปลาสวาย, ปลาช่อน เป็นต้น หรือนมผง รวมทั้งไข่ เป็นต้น
โดยหากเด็กไม่ได้รับสารอาหารที่มี DHA มากพอจะทำให้มีปัญหาต่อการมองเห็น รวมทั้งทำให้ระดับไอคิวลดต่ำลง กลายเป็นเด็กสมาธิสั้น และเรียนรู้ทักษะในด้านต่างๆ ได้ช้าลง ส่วนคนในวัยทำงานหากระดับของสาร DHA ในสมองลดต่ำลงจะก่อให้เกิดความเครียดขึ้น อาจกลายเป็นคนก้าวร้าว และเกิดภาวะซึมเศร้าขึ้นได้ และในผู้สูงอายุหากระดับของสาร DHA ลดต่ำลง ก็จะส่งผลให้กลายเป็นโรคอัลไซเมอร์ และมีปัญหาในด้านสายตาได้
DHA มีประโยชน์อะไรบ้าง คงสงสัยมานาน
- ช่วยเสริมพัฒนาการทางสมองของเด็กได้ดีมากๆ เป็นการเพิ่มความจำที่ดี รวมทั้งทักษะในด้านการเรียนรู้สิ่งต่างๆ
- ช่วยบำรุงสายตาของเด็กก่อนที่จะเริ่มพัฒนาไปสู่ทักษะในด้านต่างๆ
- ช่วยแก้โรคสมาธิสั้นในเด็กได้ดี ทำให้สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบข้างได้อย่างรวดเร็ว
- ช่วยบำรุงระบบประสาทให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในวัยทารก
- ช่วยป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้าขึ้น
- ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดเกิดการอุดตัน
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกรับประทานอาหารที่มีสาร DHA
- หากเป็นผู้ที่แพ้ปลาทะเลควรหลีกเลี่ยง
- ในคนที่อยู่ในช่วงเตรียมตัวรับการผ่าตัด หรือก่อนที่จะคลอดลูกไม่ควรรับประทานสาร DHA ในช่วงนี้
- เรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ ต้องมั่นใจว่าไม่มีสารหนูหรือสารตะกั่วใดๆ ปนเปื้อนมากับปลาทะเลเหล่านี้
- หากเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสาร DHA ต้องได้มาตรฐานระดับสากล โดยมีแหล่งผลิตและวันเดือนปีที่ผลิตหรือหมดอายุอย่างชัดเจน
การที่เด็กทารกหรือเด็กจะได้รับการพัฒนาสมอง สายตา หรือร่างกายต่างๆ ได้ดี ควรเริ่มจากการได้รับตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของคุณแม่ โดยคุณแม่ควรจะรับประทานอาหารที่มีสาร DHA หรือโอเมก้า 3 ตั้งแต่ขณะตั้งครรภ์ไปจนถึงระยะเวลาให้นมลูก ก็จะช่วยให้ลูกน้อยที่คลอดออกมามีสุขภาพที่สมบูรณ์และแข็งแรงทั้งทางร่างกายและพัฒนาการทางสมองนั่นเอง8 ครับ
DHA (Docosahexaenoic Acid) คือกรดไขมันชนิดหนึ่งที่จำเป็นต่อร่างกายของมนุษย์อย่างมาก โดยอยู่ในกลุ่มของสารโอเมก้า 3 ซึ่งร่างกายของเราไม่สามารถผลิตหรือสังเคราะห์ขึ้นมาได้เอง ดังนั้น จึงต้องได้รับสารอาหารชนิดนี้จากการรับประทานอาหารที่มีสารโอเมก้า 3 เข้าไปเท่านั้นเอง โดยส่วนใหญ่สารนี้จะอยู่ในอาหารประเภทปลาต่างๆ อย่างปลาทะเลน้ำลึก เช่น แซลมอน, ทูน่า เป็นต้น หรือในปลาน้ำจืด เช่น ปลาสวาย, ปลาช่อน เป็นต้น หรือนมผง รวมทั้งไข่ เป็นต้น
โดยหากเด็กไม่ได้รับสารอาหารที่มี DHA มากพอจะทำให้มีปัญหาต่อการมองเห็น รวมทั้งทำให้ระดับไอคิวลดต่ำลง กลายเป็นเด็กสมาธิสั้น และเรียนรู้ทักษะในด้านต่างๆ ได้ช้าลง ส่วนคนในวัยทำงานหากระดับของสาร DHA ในสมองลดต่ำลงจะก่อให้เกิดความเครียดขึ้น อาจกลายเป็นคนก้าวร้าว และเกิดภาวะซึมเศร้าขึ้นได้ และในผู้สูงอายุหากระดับของสาร DHA ลดต่ำลง ก็จะส่งผลให้กลายเป็นโรคอัลไซเมอร์ และมีปัญหาในด้านสายตาได้
DHA มีประโยชน์อะไรบ้าง คงสงสัยมานาน
- ช่วยเสริมพัฒนาการทางสมองของเด็กได้ดีมากๆ เป็นการเพิ่มความจำที่ดี รวมทั้งทักษะในด้านการเรียนรู้สิ่งต่างๆ
- ช่วยบำรุงสายตาของเด็กก่อนที่จะเริ่มพัฒนาไปสู่ทักษะในด้านต่างๆ
- ช่วยแก้โรคสมาธิสั้นในเด็กได้ดี ทำให้สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบข้างได้อย่างรวดเร็ว
- ช่วยบำรุงระบบประสาทให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในวัยทารก
- ช่วยป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้าขึ้น
- ช่วยป้องกันภาวะหลอดเลือดเกิดการอุดตัน
สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกรับประทานอาหารที่มีสาร DHA
- หากเป็นผู้ที่แพ้ปลาทะเลควรหลีกเลี่ยง
- ในคนที่อยู่ในช่วงเตรียมตัวรับการผ่าตัด หรือก่อนที่จะคลอดลูกไม่ควรรับประทานสาร DHA ในช่วงนี้
- เรื่องความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ ต้องมั่นใจว่าไม่มีสารหนูหรือสารตะกั่วใดๆ ปนเปื้อนมากับปลาทะเลเหล่านี้
- หากเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสาร DHA ต้องได้มาตรฐานระดับสากล โดยมีแหล่งผลิตและวันเดือนปีที่ผลิตหรือหมดอายุอย่างชัดเจน
การที่เด็กทารกหรือเด็กจะได้รับการพัฒนาสมอง สายตา หรือร่างกายต่างๆ ได้ดี ควรเริ่มจากการได้รับตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของคุณแม่ โดยคุณแม่ควรจะรับประทานอาหารที่มีสาร DHA หรือโอเมก้า 3 ตั้งแต่ขณะตั้งครรภ์ไปจนถึงระยะเวลาให้นมลูก ก็จะช่วยให้ลูกน้อยที่คลอดออกมามีสุขภาพที่สมบูรณ์และแข็งแรงทั้งทางร่างกายและพัฒนาการทางสมองนั่นเอง8 ครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)