วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2559

สังขยาฟักทอง ทำทานเองง่ายๆ

สังขยาฟักทองอาจเป็นของโปรดของหลายๆคน แต่สำหรับที่กำลังลดน้ำหนักอยู่คงไม่ใช่แน่นอน อิอิ
วันนี้เราได้สูตรการทำ สังขยาฟักทองมาฝากจ้า เป็นของหวานที่ใครๆ ก็สามารถทำกินเองได้จ้า มาดูกันเลยว่าใช้อะไรบ้าง แล่้ววิธีทำ จะทำอย่างไร

วัตถุดิบอุปกรณ์
1.ไข่เป็ดและไข่ไก่อย่างละ 3 ใบ (หากไม่มีไข่เป็ดสามารถใช้แต่ไข่ไก่อย่างเดียวก็ได้จ้า)

2.น้ำตาลปีบ 1 ถ้วยตวง ควรเลือกสีเข้ม เนื้อสังขยาจะออกมาสีสวย และไม่ควรใช้น้ำตาลปีบเทียม เพราะสีจะอ่อนกว่า นั้นเอง


3. กะทิ 1 ถ้วยตวง ได้มาจากมะพร้าวขูดขาว แต่ถ้าใช้กะทิกล่อง แนะนำปริมาณ 150 มิลลิกรัมขึ้นไปจ้า

4.เกลือ 1 ช้อนชา (อย่าใส่เยอะ อาจจะเค็มได้)

5.แป้งข้าวเจ้าหรือแป้งอเนกประสงค์ 1 ช้อนโต๊ะ


6.ใบเตย 5 ใบ (หรืออยากให้มันหอมมากๆก็ใส่เยอะๆเลย)


พอได้สิ่งของที่ต้องการครบหมดแล้ว มาถึงขั้นตอนวิธีทำกันเลยจ้า

วิธีทำ

1.การคว้านเอาเส้นใยและเมล็ดด้านในของลูกฟักทองออกให้หมด

2.ตีไข่ที่เตรียมไว้ แล้วผสมแป้งข้าวเจ้า เกลือ กะทิ น้ำตาลปีบ ให้เข้ากัน





3.เทน้ำสังขยาลงไปในลูกฟักทอง 3 ส่วน 4 ของลูก หรือประมาณ 2 นิ้ว นับจากขอบปาก ป้องกันลูกฟักทองแตกขณะกำลังนึ่งนั้นเอง

4.นำลูกฝักทองไปนึ่งได้เลยจ้า ประมาณ 50 นาที - 1 ชั่วโมง เร่งไฟแรงพอดี
5.เมื่อนึ่งเสร็จ ควรนำออกจากเตา แต่ไม่ควรฝ่าออกเป็นชิ้นทันที ควรพักไว้ 1 ชั่วโมง แล้วนำเข้าใส่ตู้เย็น.
(หากใครชอบทานร้อนๆ ก็สามารถรับประทานได้เลยจ้า


)

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559

วิธีทําไข่ตุ๋นแบบง่ายๆ

 วันนี้เรามีวิธีทําไข่ตุ๋นเนื้อเนียนๆ สไตล์เจแปนมาฝากกันครับ เป็นวิธีทําไข่ตุ๋น ที่ใครๆก็สามารถทำทานกันได้ง่ายๆครับ ไข่ตุ๋นเป็นอาหารโปรดของหลายๆคน เพราะทำง่าย ทานง่าย และ มีประโยชน์ต่อร่างกายแบบไร้ไขมันส่วนเกิน จ้า

วิธีการ ทำไข่ตุ๋นมีหลากหลายแบบ ขึ้นอยู่กับว่าได้รับการถ่ายทอดจากพ่อ-แม่ หรือญาติคนสอนทำมาแบบไหนสมัยก่อนผู้เขียนโปรดปรานไข่ตุ๋นที่คุณแม่ทำให้ทานมาก อร่อยสุดๆ ใส่หมูสับกับต้นหอมซอยลงไปบางๆแล้วเอาไปนึ่งก็อร่อยแล้วครับ  แต่ไข่ตุ๋นสไตล์คุณแม่ของพวกเราหน้าตาอาจจะดูไม่น่าทานนักเนื้อไม่เนียนเรียบเหมือนไข่ตุ๋นแบบโอชิน นะ
เอาเป็นว่าพอผู้เขียนเริ่มได้ลิ้มลองไข่ตุ๋นแบบโอชินก็ติดใจความสวยงามของหน้าตา แถมไข่ก็นุ้มนุ่ม ทานไปแล้วละลายในปาก จึงเริ่มมาศึกษาวิธีการทำไข่ตุ๋นแบบนี้ทันทีเพราะไม่อยากเปลืองสตางค์ ก่อนอื่นต้องไปจ่ายตลาดกันก่อนเลย เพื่อซื้อวัตถุดิบกันครับเครื่องปรุงไข่ตุ๋นโอชินมีดังนี้ (สามารถทำได้ 4 ถ้วยขนาดถ้วยเท่าในร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปครับ)
• ไข่ไก่ 2 ฟอง
• ผงปรุงรส Hondashi 3 กรัมละลายน้ำต้มสุก 400 ซีซี
• อุซึคุจิโชยุ (หรือ ซีอิ๊วขาว) 1 ช้อนโต๊ะ
• เนื้อไก่ 4 ชิ้นเล็กๆ
• เห็ดหอม 1 ดอกใหญ่ หั่น 4 ชิ้นเล็กๆ
• แป๊ะก๊วย 1-2 ชิ้น
• เนื้อปลา 1 ชิ้น
• ลูกชิ้นปลาญี่ปุ่น หั่น 4 ชิ้นเล็กๆ
• ผักสำหรับตกแต่งอาจจะใช้ใบผักชี
* ผงปรุงรส Hondashi คือ ผงปรุงรสที่ทำมาจากปลาหลายชนิดตากแห้ง ที่นิยมคือ ปลาโอที่นำไปอบจนแห้งแล้วฝนเป็นแผ่น คล้ายกระดาษบาง ๆ
** อุซึคุจิโชยุ คือ โชยุมีสีค่อนข้างอ่อน (สีใกล้เคียงกับซีอิ้วขาวบ้านเรา แต่เค็มน้อยกว่า) ใช้สำหรับปรุงอาหาร ที่ไม่ต้องการให้อาหารมีสีดูคล้ำ

วิธีทําไข่ตุ๋นมีดังนี้
1. ตอกไข่ใส่ชาม ตีไข่โดยใช้ตะเกียบหรือซ้อมคนจากซ้ายไปขวา หรือ บนลงล่างเท่านั้นครับ
2. เติมอุซึคุจิโชยุ หรือ ซีอิ๊วขาวลงไป สีของไข่จะออกคล้ำขึ้นเล็กน้อยจ้า
3. ใส่ผงปรุงรสHondashi ที่ละลายน้ำแล้วลงไปคนให้เข้ากันเลยจ้า
4. ขั้นตอนสำคัญ คือต้องกรองไข่ที่ตีแล้วด้วยกระชอนตาถี่ หรือผ้าขาวบางก็ได้ลงในกะมังอีกใบหนึ่งเศษไข่ขาวที่ติดในกระชอนทิ้งไปได้เลย
5. เปิดแก็ส ตั้งลังนึ่ง ใส่น้ำ และเปิดไฟแรงจัดได้เลยจ้า
6. แบ่งเครื่องปรุงต่างๆ พวกเนื้อไก่, เห็ดหอม, แปะก๊วย,เนื้อปลา,ลูกชิ้นปลา,ผักชี ใส่ถ้วยทั้ง 4ถ้วยให้เรียบร้อยเลยครับ
7. เอาไข่ที่เราเตรียมไว้แล้วแบ่งใส่ถ้วยให้เท่าๆกัน ปิดด้วยฟอยล์เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำหยดลงบนไข่ตุ๋น
8. เมื่อน้ำที่เราตั้งไว้เดือดเรียบร้อยแล้วให้หรี่ไฟให้อ่อนที่สุด แล้วนำไข่ตุ๋นที่ใส่ถ้วยเตรียมไว้ไปใส่ในลังนึ่งนึ่งไปสักประมาณ 15 นาทีก็เป็นอันเสร็จพิธี ก็จะได้ไข่ตุ๋นโอชินที่มีเนื้อเนียนน่ารับประทาน
ข้อควรระวัง: อย่าใช้ช้อนส้อมคนไข่มากเกินไปจนเกิดฟอง, อย่าลืมกรองไข่ก่อนนำไข่ไปตุ๋น และ อย่าเปิดไฟแรงเกินไป ไม่ฉะนั้นไข่ตุ๋นจะหน้าไม่เนียนแบบไข่ตุ๋นโอชินนะครับ
เป็นไงกันบ้างครับ หวังว่าวิธีทําไข่ตุ๋นที่กล่าวมา คงมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยน่ะครับ
เป็นวิธีทำง่ายๆที่ใครๆก็ทำทานได้เองที่บ้านครับ ^^

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เทคนิควิธีการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง หรือกุ้งล็อบเตอร์น้ำจืด

เทคนิควิธีการเลี้ยงกุ้งก้ามแดง หรือกุ้งล็อบเตอร์น้ำจืด กุ้งเศรษฐกิจตัวใหม่ที่หลายๆคนเลี้ยง
         กุ้งก้ามแดง หรือ กุ้งล็อบเตอร์น้ำจืดมีถิ่นกำเนิดที่ ออสเตรเลีย ขนาดโตเต็มที่ 12 นิ้วอายุเฉลี่ย 4ปี ในธรรมชาติ ถ้าเลี้ยงใส่ตู้กระจกสามารถอยู่ได้ 2-3 ปี อุณหภูมิที่เหมาะสมในการเลี้ยง 25-28 องศา ถือว่า อากาศและอุณหูภูมิในบ้านเรา กำลังดีเลยครับ
กุ้งก้ามแดงเป็นกุ้งชนิดแรกที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงทดลองเลี้ยงเพื่อเป็นอาหาร เพราะเป็นกุ้งที่มีการเจริญเติบโตค่อนข้างเร็วและมีขนาดใหญ่มาก ลักษณะเด่นคือ มีขนาดใหญ่และสีของกุ้งมีการเปลี่ยนแปลงตลอด แต่สีที่พบมากที่สุดคือ สีเขียว สีน้ำตาล และสีน้ำเงิน ซึ่งคนไทยจะเรียกว่า บลู ล็อบเตอร์ บางที่ก็เลี้ยงไว้เพื่อความสวยงามแล้วนำจำหน่ายได้ในราคาสูงมากทีเดียว หรือบางคนก็อาจจะเพาะพันธุ์เลี้ยงขาย ราคากุ้งขนาดเดินดิน (ตัวเล็ก)ตัวละ 8 บาท
ขนาด 1 นิ้ว 40 บาท 2 นิ้ว 90 บาท  3 นิ้ว คู่ละ 250 บาท 4 นิ้ว คู่ละ 450 บาท  นับว่าเป็นการสร้างรายได้ที่ดีเลยทีเดียวครับ เลี้ยงง่าย กินง่าย เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างสูงเลยครับ

        กุ้งชนิดนี้มีจุดเด่นอีกอย่างคือ แถบข้างของก้ามจะมีสีแดง และ สีส้ม เป็น เอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งแถบสีเหล่านี้ จะพบกับกุ้งเพศผู้เท่านั้นครับ ส่วนเพศเมียจะไม่มีแถบสีเลยครับ กุ้งชนิดนี้เลี้ยงง่าย ปรับตัวได้ไวและภูมต้านทานโรคสูง ปัจจุบันเกษตรนำมาเลี้ยงเป็นกุ้งเนื้อ และเป็นที่ต้องการของตลาด
การเริ่มต้นเลี้ยงกุ้งก้ามแดง แบบเลี้ยงเพื่อเศรษฐกิจ จะต้องทำอย่างไรบ้าง มาดูกัน


1. การเตรียมน้ำ ต้องเตรียมน้ำ ยกตัวอย่างเลี้ยงในตู้ 24 นิ้ว ใส่น้ำประมาณ 50 ลิตร ควรเติมเกลือแกงไปประมาณ 2-4 ช้อนโต๊ะ เปิด ออกซเจนทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง ไม่ต้องใส่น้ำยาลดคลอรีน ก่อนนำกุ้งลงตู้ให้เอาถุงใส่กุ้งลอยน้ำทิ้งไว้ 15 นาที เพื่อปรับอุณหภูมิให้กับกุ้งครับ
** กรณีเลี้ยงบ่อดิน บ่อผ้าใบพลาสติก ใส่น้ำความสูง 30-40 เซนติเมตร เติมเกลือ อัตราน้ำ 1000 ลิตร ต่อ 1 กิโลกรัม ปั๊มออกซิเจน หรือใบพัดปั่นน้ำ ในบ่อทิ้งไว้ 5-6 ชั่วโมง ค่อยนำกุ้งลง แล้วแต่ ขนาดของบ่อ **
2.ปรับอุณหภูมิการเลี้ยงไว้ที่ 20-30 องศาเซลเซียส
3.สังเกตการลอกราบของกุ้ง ซึ่งช่วงเวลานี้กุ้งจะบอบบางและอ่อนแอมาก จะสังเกตอย่างไร แบ่งออกเป็นข้อๆได้ตามนี้ครับ
- ปริมาณการกินอาหารน้อยลง
- รอยต่อของลำตัวจะเปิด
- จับดูที่เปลือกหัวจะนุ่มนิ่มแสดงว่าใกล้ลอกคราบ
- แต่ถ้าห้วเปิดแล้วตัวยังแข็งอยู่แสดงว่ายังไม่ลอกคราบ อาจจะเกิดจากการที่กุ้งกินอาหารมากเกินไป ทำให้เปลือกบริเวฯรอยต่อยกขึ้นเหมือนลอกคราบ
4. การถ่ายน้ำในกรณีเลี้ยงตู้ควรถ่ายทุกๆ 7-10 วัน ** ส่วนบ่อดิน บ่อผ้าใบพลาสติก สูบน้ำเก่าออกเติมน้ำใหม่เข้า ทุก 2 สัปดาห์ ** ไม่ควรเปลี่ยนน้ำทิ้งทั้งหมด จะทำให้กุ้ง น็อคน้ำได้
5.อาหาร สำหรับกุ้งชนิดนี้กินได้ทั้งพืชและสัตว์และอาหารเม็ด ยกตัวอย่างอาหารของกุ้งก้ามใหญ่ เช่น สาหร่ายหางกระรอก แครอท และพืชน้ำอื่นๆ ประเภทเนื้อสัตว์จะเป็นพวก กุ้งฝอยต้ม เนื้อปลาตัวเล็กๆ *หนอนแดง กรณีเลี้ยงในตู้หรือ บ่อพลาสติก*
6.การเพาะพันธุ์ กุ้งก้ามใหญ่ จะเริ่มผสมพันธุ์ที่ขนาดประมาณ 3 นิ้วขึ้นไป ( ขึ้นอยู่กับความสมบูรณื และสายพันธุ์ ) หลังจากผสมแล้ว ตัวเมียจะปล่อยไข่ออกมาใต้หาง และใช้เวลา 30 วันลูกจะเป็นตัวแล้วจะลงดิน อัตตราการผสม ตัวผู้ 1 ตัว ต่อ ตัว เมีย 3 ตัว
กุ้งเครย์ฟิช สามารถนำมาเลี้ยงในตู้ปลาได้ แต่หากเลี้ยงรวมกันหลายตัว ควรจะเลี้ยงในตู้ปลาขนาดใหญ่ ที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 24 นิ้ว เพราะกุ้งเครย์ฟิช มีนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว และหวงถิ่นที่อยู่ เมื่อมีเนื้อที่กว้างจะทำให้กุ้งแต่ละตัวสามารถสร้างอาณาเขตของตนเองได้ หากนำมาเลี้ยงรวมกันอย่างหนาแน่นจะพบว่า กุ้งเครย์ฟิช ขนาดเล็กมักถูกรังแกและมีโอกาสที่จะถูกกุ้งเครย์ฟิชที่มีขนาดใหญ่กว่ากิน เป็นอาหารได้ นอกจากนี้ ควรใส่ขอนไม้ กระถางต้นไม้แตกๆ หรือท่อ พีวีซี ตัดเป็นท่อนๆ เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชได้หลบอาศัยในเวลากลางวัน เพราะปกติช่วงกลางวันเป็นเวลาที่มันจะอยู่เงียบๆ แต่จะออกมาหาอาหารในเวลากลางคืนมากกว่า

สำหรับการตกแต่งตู้เลี้ยง กุ้งเครย์ฟิชนั้น หากชอบให้ตู้โล่งก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ควรใส่ท่อพีวีซีลงไปด้วย เพื่อให้กุ้งได้ใช้ในการหลบซ่อนตัว แต่หากต้องการให้ตู้เลี้ยงมีความสวยงามก็สามารถใช้กรวดปูพื้นตู้ได้ แต่มักพบว่า กุ้งเครย์ฟิชมีนิสัยชอบขุดคุ้ยกรวดเพื่อสร้างเป็นที่กำบังในเวลากลางวัน จึงทำให้ไม่เป็นเหมือนครั้งแรกที่แต่งไว้ ทั้งนี้ จึงควรจะปูกรวดให้หนา ไม่ต่ำกว่า 5 เซนติเมตร เพื่อให้กุ้งเครย์ฟิชขุดกลบลำตัวได้ แต่ไม่ควรปูพื้นตู้ด้วยทราย เพราะมีความหนาแน่นสูง หากกุ้งเครย์ฟิชมุดลงไปแล้วอาจทำให้ขาดอากาศหายใจได้
ผู้เลี้ยงไม่จำเป็นที่จะต้องติดตั้งปั๊มออกซิเจนในตู้เลี้ยงก็สามารถทำได้หากเลี้ยงจำนวนน้อย แต่หากต้องการจะติดตั้งเครื่องปั๊มออกซิเจนก็ปล่อยอากาศให้น้ำกระเพื่อมเบาๆ ก็พอ ส่วนระบบกรองน้ำ ควรใช้ชนิดกรองบน กรองแขวน หรืออาจจะใช้กรองฟองน้ำที่เป็นตุ้มก็เพียงพอ แต่ไม่ควรใช้ชนิดกรองใต้ตู้ เพราะกุ้งเครย์ฟิชมักจะขุดกรวดขึ้นมา
อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมในการ เลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช คือ ประมาณ 23-28 องศาเซลเซียส ค่าพีเอช ที่เหมาะสมคือ ประมาณ 7.5-10.5 แต่หากน้ำมีความกระด้างสูง ก็สามารถใส่เกลือลงไปในตู้ได้ เพื่อเป็นการปรับสภาพน้ำ นอกจากนี้ เกลือยังช่วยเสริมแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อการลอกคราบและสร้างเปลือกใหม่ ด้วย สำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อยๆ แต่ทีละน้อย เพื่อป้องกันอุณหภูมิเปลี่ยนฉับพลัน และน้ำที่ใช้ควรเป็นน้ำสะอาด
กุ้งเครย์ฟิช สามารถกินอาหารได้เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก เศษเนื้อสัตว์ หรือให้อาหารเม็ดสำเร็จรูปชนิดจมก็ได้ สามารถกินเศษอาหารได้ทั่วไป เพื่อความสะดวก แต่ไม่ควรให้อาหารบ่อย 2-3 วัน ให้ครั้งหนึ่งก็พอ และควรให้น้อยๆ แต่พอดี เพื่อป้องกันการตกค้างของอาหาร ซึ่งจะทำให้น้ำเน่าเสีย ส่งผลต่อการเกิดโรคได้ และควรให้อาหารในเวลากลางคืน เพราะตามธรรมชาติ กุ้งเครย์ฟิชเป็นสัตว์ที่หาอาหารกินในเวลากลางคืน

สำหรับการเพาะพันธุ์กุ้งเครย์ฟิชนั้นไม่ยาก เพราะสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี และสามารถขยายพันธุ์ได้ง่าย เพียงนำกุ้งเครย์ฟิชตัวผู้กับตัวเมียมาปล่อยรวมกัน แต่ต้องมั่นใจว่าเป็นตัวผู้กับตัวเมีย โดยสังเกตที่อวัยวะสืบพันธุ์ตรงช่วงขาเดิน กุ้งตัวผู้มีอวัยวะคล้ายตะขอบริเวณขาเดินคู่ที่สองและสาม ซึ่งตะขอนี้เอาไว้เกาะตัวเมียตอนผสมพันธุ์ ส่วนตัวเมียจะมีอวัยวะสืบพันธุ์เป็นแผ่นทรงวงรีบริเวณขาเดินคู่ที่ 3
กุ้งเครย์ฟิช ใช้เวลาผสมพันธุ์นานกว่า 10 นาที หลังจากนั้นสามารถย้ายกุ้งตัวเมียไปยังตู้อนุบาลได้ เพื่อเป็นการเตรียมที่อยู่สำหรับลูกกุ้ง หลังจากนั้น ตัวเมียจะทยอยผลิตไข่ขึ้นมาไว้บริเวณขาว่ายน้ำเป็นกระจุก มองคล้ายพวงองุ่น หลังจากที่ไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้วตัวเมียจะหาที่หลบซ่อนนอนนิ่งไม่ยอมกิน อะไร ระยะเวลาที่ตัวอ่อนใช้ในการพัฒนารูปร่างนั้นจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ปริมาณอาหาร และคุณภาพน้ำด้วย โดยเฉลี่ยไข่จะพัฒนาจนเป็นตัวอ่อนเหมือนโตเต็มวัยภายใน 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้น ลูกกุ้งจะถูกปล่อยให้ว่ายน้ำเป็นอิสระ ในการผสมพันธุ์แต่ละครั้งแม่กุ้งสามารถให้กุ้งได้มากถึง 300 ตัว ซึ่งพ่อแม่กุ้งไม่มีพฤติกรรมกินลูกกุ้งเป็นอาหาร และลูกกุ้งก็จะอยู่ไม่ห่างพ่อแม่นัก เพื่อคอยเก็บเศษอาหารที่เหลือจากพ่อแม่กินเป็นอาหารนั่นเอง
ตัวอ่อนของกุ้งเครย์ฟิช มีขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร โดยจะกินเศษอาหารก้นตู้เป็นหลัก สามารถให้ไส้เดือนฝอย ไรทะเล เป็นอาหารเสริมได้ แต่ควรระวังเรื่องคุณภาพน้ำด้วย อย่าปล่อยเศษอาหารเหลือทิ้งจนเน่าเสีย ซึ่งควรให้อาหารให้เพียงพอ เพราะตัวอ่อนจะมีพฤติกรรมกินกันเอง
ตู้อนุบาลตัวอ่อนควรมีพื้นที่ และวัสดุหลบซ่อน โดยเฉพาะกระถางต้นไม้ เพราะในช่วงเดือนแรก ลูกกุ้งจะลอกคราบบ่อย ทำให้ลำตัวอ่อนนิ่ม และมีเปอร์เซ็นต์ถูกกินเป็นอาหารมากขึ้น เมื่อลูกกุ้งมีอายุประมาณ 1 เดือน จะเริ่มมีสีสันเหมือนตัวโตเต็มวัย
การลอกคราบเป็นขั้นตอนที่สำคัญใน การเจริญเติบโตของกุ้งเครย์ฟิช เพราะแสดงถึงขนาดลำตัวที่โตมากขึ้น ซึ่งลูกกุ้งจะลอกคราบเดือนละครั้ง โดยมีระยะห่างในการลอกคราบแต่ละครั้งจะยาวนานขึ้นเมื่อกุ้งเจริญเติบโตขึ้น และเมื่อกุ้งเครย์ฟิชโตเต็มที่จะลอกคราบเพียงปีละครั้งเท่านั้น ในการลอกคราบแต่ละครั้ง กุ้งเครย์ฟิชจะมีลำตัวนิ่มและอ่อนแอมาก จึงต้องหาที่ปลอดภัยสำหรับหลบซ่อนและค่อนข้างอยู่นิ่งๆ ประมาณ 2-3 วัน จนกว่าเปลือกจะแข็งเป็นปกติ

อย่างไรก็ตามนั้น หากเห็นว่ากุ้งเครย์ฟิชกำลังลอกคราบ ไม่ควรรบกวน เพราะอาจทำลายความต่อเนื่องของกระบวนการลอกคราบได้ หากกุ้งเครย์ฟิชตกใจอาจทำให้การลอกคราบไม่สมบูรณ์เต็มที่ โดยชิ้นส่วนของเปลือกชุดเก่ายังติดอยู่บริเวรก้าม ในขณะที่เปลือกชุดใหม่เริ่มแข็งตัว อาจทำให้เกิดความผิดปกติได้ อาทิ มีเปลือกสองชั้นทับกัน หรือก้ามบิดเบี้ยวผิดรูปได้

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วิธีดูแลรักษาน้องหมาเวลาท้องเสีย ในเบื้องต้นเราควรทำอย่างไรบ้าง ???

วิธีดูแลรักษาน้องหมาเวลาท้องเสีย ในเบื้องต้นเราควรทำอย่างไรบ้าง

สุนัขหรือหมาเป็นทั้งเพื่อนและสัตว์เลี้ยงที่รู้ใจที่สุดสำหรับมนุษย์มาตั้งแต่โบราณมา เพราะมนุษย์นิยมเลี้ยงสุนัขไว้ตามบ้านบ้างเพื่อใช้งาน และบ้างเลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงาได้มาก ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นกับมันเราจึงสามารถสังเกตเห็นได้ดีที่สุดเลย อาการป่วยชนิดหนึ่งที่มักเกิดขึ้นกับสุนัขนั้นก็คืออาการท้องเสีย ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้นวันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการดูแลรักษาสุนัขที่มีอาการท้องเสียเบื้องต้นอย่างถูกวิธีกันเลยครับ

1. หากมีอาการอาเจียนแค่ครั้งเดียว และมีอาการท้องเสียถ่ายเหลวเพียงเล็กน้อย แต่ยังสามารถกินอาหารได้ปกติ และมีอาการร่าเริง ให้ลองสังเกตอาการโดยรวมทั่วไปดูก่อนว่า เพราะหากมีอาการไม่หนักมากนั้น สุนัขอาจจะหายจากอาการนี้ไปได้เอง แต่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดไปสักประมาณ 2-3 วัน ครับ

2. ท้องเสียเพราะเปลี่ยนอาหารนั้น หากเพิ่งเปลี่ยนชนิดของอาหารแล้วทำสุนัขเกิดอาการท้องเสียอย่างหนัก ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าอาหารใหม่ๆคือสาเหตุที่ อาจเพราะลำไส้ของสุนัขยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับอาหารชนิดใหม่ได้ ให้ลองเปลี่ยนไปเป็นอาหารชนิดเดิมดูก่อน ถ้ายังไม่หายต้องรีบนำไปพบสัตวแพทย์ด่วน เพื่อวินิจฉัยอาการและรักษากันอย่างถูกวิธีต่อไปครับ แต่ถ้าสุนัขท้องเสียเพราะไปคุ้ยกินเศษอาหารถามถังขยะ ให้จัดการเก็บถังขยะหรือปิดให้มิดชิด จากนั้นพาไปพบสัตวแพทย์ครับ


3. หากสุนัขมีอาการอาเจียนหลายๆรอบและมีอาการท้องเสีย อ่อนเพลีย ให้เจ้าของรีบพาไปพบสัตว์แพทย์ หรือสถานที่รักษาสัตว์ทั่วไปทันทีเลย เพราะอาการแบบนี้คือมักจะทำให้ร่างกายของสุนัขขาดน้ำ ร่างกายมีการสูญเสียเกลือแร่ แต่ถ้าหากยังไม่สามารถพาไปพบสัตวแพทย์ได้ทันที ให้เจ้าของสังเกตดูว่า หากมีอาการอาเจียนเพียงอย่างเดียวให้ลองงดน้ำหรืออาหารสัก 4-6 ชั่วโมงหรือ 24 ชั่วโมงก็ได้ถ้าพบว่ามีอาการท้องเสียร่วมด้วย แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้รีบพาไปพบสัตว์แพทย์โดยด่วนครับ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะร่างกายของสุนัขจะยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ และตายในที่สุดครับ อย่าช้า

4. เมื่อลองงดน้ำหรืออาหารแล้ว สุนัขไม่มีอาการอาเจียนหรือถ่ายท้องอีก ให้ป้อนน้ำผสมผงเกลือแร่ (Oral rehydration salts หรือ ORS) โดยเริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน และป้อนต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 20-30 นาที (ให้กินทีละนิด เพราะหากให้กินเข้าไปเยอะ จะอาเจียนออกมาได้อีก) และหลังจากลองป้อนน้ำดูแล้วพบว่าไม่มีอาการอาเจียนอีกนั้น ให้ลองป้อนอาหาร ดู อาจเป็นอาหารอ่อนๆ ไม่หนักมากดูก่อน และเมื่อพบว่าไม่มีอาการอาเจียนอีกหรือถ่ายท้องอีกแสดงว่าอาการกำลังเริ่มดีขึ้นนั่นเองครับ โดยมากไม่น่าเกิน 3 วันสุนัขก็จะหายเป็นปกตินั้นเอง

อย่างไรก็ตาม หากพบว่าสุนัขมีอาการท้องเสียเกิดขึ้น ทางที่ดีที่สุดนำไปพบสัตวแพทย์เพื่อขอคำแนะนำจะดีกว่านะครับ อย่างนิ่งนอนใจ และไม่ควรให้ยากับสุนัขเองโดยเด็ดขาด เพราะยาบางชนิดต้องได้รับในปริมาณที่เหมาะสมโดยคำสั่งจากสัตวแพทย์เท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เกิดอาการเป็นพิษกับสุนัขได้นะครับ

วิธีฝากเงินอย่างไรให้รวย ได้ดอกเบี้ยเยอะๆ

วิธีฝากเงินอย่างไรให้รวย ได้ดอกเบี้ยเยอะๆ

คนสมัยนี้นิยมฝากเงินเก็บไว้ในธนาคาร เพราะเป็นวิธีที่ทั้งปลอดภัยมาก และมีค่าตอบแทนให้ในรูปของดอกเบี้ย แต่หลายๆ คนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าต้องฝากแบบไหนกับธนาคารไหนจึงจะสามารถทำให้รวยได้ อธิบายอย่างนี้ครับ ในแต่ละธนาคารนั้นมีประเภทของเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยแตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจกับบัญชีแต่ละประเภทของธนาคารกันซะก่อน ที่จะตัดสินใจฝากเงินเก็บของคุณไว้กับบัญชีประเภทไหนดี

1. บัญชีออมทรัพย์ เป็นบัญชีที่เจ้าของบัญชีสามารถเบิกถอน หรือโอนไปไหนได้ตามสะดวกสะบาย ซึ่งข้อดีก็คือมีอิสระในการใช้งานได้อย่าเต็มที่ ไม่ว่าจะถอนหรือฝาก ไม่มีข้อจำกัดใดๆนั้น นอกจากวงเงินในบัญชีแล้ว แต่ข้อเสียก็คือบัญชีประเภทนี้มีอัตราดอกเบี้ยต่ำมาก แถมยังถูกเก็บภาษีดอกเบี้ยอีกต่างหาก

2. บัญชีฝากประจำนั้น เป็นบัญชีที่กำหนดระยะเวลาการฝากถอน เช่น 3 เดือน , 6 เดือน หรือ 1 ปีก็ว่ากันไป ข้อจำกัดของบัญชีประเภทนี้จึงอยู่ที่การฝากถอน เพราะบัญชีประเภทนี้มักจะมีดอกเบี้ยสูง แต่ต้องถอนตามระยะเวลากำหนดเท่านั้นครับ ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ดอกเบี้ยเลย

3. บัญชีฝากออมทรัพย์แบบพิเศษ หมายถึง บัญชีที่ฝากแบบมีเงื่อนไขต่างๆ ตามเป้าหมายอะไรบางอย่าง คือ ผู้ฝากต้องฝากเงินในจำนวนเท่ากันทุกเดือนจนกว่าจะครบตามเป้าที่ตั้งไว้ ข้อดีคือให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากเงินแบบออมทรัพย์ธรรมดานั้น แต่ข้อเสียก็คือสามารถเบิกเงินได้เดือนละครั้งเท่านั้นเอง

เมื่อตัดสินในเลือกประเภทบัญชีที่จะฝากเงินแล้ว ผู้ฝากยังต้องจัดการเงินทั้งหมดที่มีออกเป็นประเภท เพื่อให้เป้าหมายของการฝากเงินนั้นมีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยการแบ่งเงินออกเป็นสามบัญชี คือ
1. บัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันบวกกับค่าใช้จ่ายยามฉุกเฉินต่างๆ ควรเป็นบัญชีออมทรัพย์ที่สามารถเบิกได้เสมอ ต่อมา และมีบัตรATM
2. บัญชีฝากประจำ ซึ่งควรเป็นเงินฝากระยะยาวเท่านั้น เพราะจะสามารถให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าได้นั้น แนะนำว่าควรนำเงินไปฝากเป็นประจำพร้อมโดยแบ่งจาก 10% ของรายได้ต่อเดือนทั้งหมด
3. บัญชีสำหรับการลงทุนต่างๆ เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับชีวิตเช่นการซื้อหุ้น ซื้อทองเพื่อเก็งกำไรเป็นต้นครับ บัญชีนี้ควรเป็นแบบฝากออมทรัพย์พิเศษ โดยผู้ฝากต้องฝากเงินเป็นประจำทุกๆเดือน ครับ


มีการวางแผนการเก็บออมและฝากเงินนั้น สามารถช่วยให้คุณเข้าสู่เป้าหมายคือความร่ำรวยได้ไม่ยากเลย ดังนั้นก็ขอให้เลือกฝากตามบัญชีที่เหมาะกับตนเองที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมีเหมือนกันหมด คือวินัยในเรื่องของการใช้เงินของตนเอง เพราะหากไม่มีวินัย และรู้จักการวางแผน ก็จะไม่สามารถทำให้เราไปถึงจุดหมายที่ต้องการได้นั่นเอง เช่น บ้าน รถ อื่นๆ

6 สัญญาณ บอกอาการของคนกำลังจะเป็นคุณแม่

6 สัญญาณ บอกอาการของคนกำลังจะเป็นคุณแม่

การสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์นั้นนอกจากสามีและภรรยาที่ต้องอยู่ด้วยกันแล้ว ครอบครัวจะต้องมีความสมบูรณ์ครบก็ต่อเมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตน้อยๆ ที่กำลังจะเกิดมาลืมตาดูโลก คุณผู้หญิงคนไหนที่อยู่ในสถานะภรรยา มีครอบครัวที่พร้อม คงกำลังตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะมีเจ้าตัวน้อยมาวิ่งเล่นอยู่ในบ้านแล้วใช่ไหม เวลาผ่านไปอาจจะมีอาการบางอย่างมาทำให้คุณผู้หญิงหลายคนสงสัยว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์หรือไม่? ซึ่งมีอาการของคนกำลังตั้งครรภ์นั้นค่อนข้างซับซ้อนอยู่เหมือนกัน เพราะว่าแต่ละคนมีอาการที่มากน้อยไม่เท่ากัน แต่อาการที่เกิดขึ้นต่างๆจะคล้ายๆ กันดังต่อไปนี้



1. ประจำเดือนขาดเกิน 1 ถึง 2เดือน เมื่อไข่ของคุณผู้หญิงได้รับการผสมจากอสุจิของคุณผู้ชาย จะมีการฝังตัวของตัวอ่อนที่มดลูกเกิดขึ้น ทำให้ไม่มีประจำเดือนออกมา อาการเริ่มแรกที่คุณผู้หญิงสามารถสังเกตตัวเองได้ก็คือเรื่องของประจำเดือนนั้น แม้ขาดหรือว่าเกินกำหนดไปเพียงแค่วันเดียวก็สามารถตรวจสอบได้แล้วจ้า

2. อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า อยากนอน อยากพักผ่อนตลอดเวลา เมื่อร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ด้วยกลไกภายในต่างๆจะทำให้ร่างกายเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น อาการอ่อนเพลียจึงเกิดขึ้นได้เสมอจ้า คุณผู้หญิงจะรู้สึกเมื่อยอย่างบอกไม่ถูก อาจจะนอนมากกว่าปกติ มากกว่าคนทั่วไป


3. อาการเวียนหัว อาเจียนบ่อยๆ เหม็นอาหารหรือบางคนเหม็นสามี สังเกตอาการตัวเองได้ง่ายมากจากการรับประทานอาหาร ฮอร์โมนในร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนจะรับรู้ว่ามีอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะเกิดใหม่ หรือที่เรียกว่าอาการแพ้ท้องนั่นเอง นอกจากร่างกายจะอ่อนเพลียแล้ว ช่วงนี้ก็ยังสามารถเวียนหัวและเป็นลมได้ง่าย เกิดอาการอาเจียนบ่อย ต้องดูแลตัวเอง

4. น้ำหนักตัวลดอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างในร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งน้ำหนัก ทั้งนี้อาจจะเป็นผลมาจากอาการแพ้ท้อง เพราะว่าช่วงเวลาที่แพ้ท้องนั้น คุณผู้หญิงจะรับประทานอาหารไม่ค่อยได้มากนัก เหม็นบ้าง กินแล้วจาเจียนออกหมดบ้าง หรือบางคนแม้กระทั่งน้ำเปล่าก็ไม่สามารถดื่มได้ ช่วงนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องดูแลตัวเองมากที่สุดเลยจ้า

5. หงุดหงิดง่าย โมโหง่าย โวยวาย อารมณ์ร้อน ฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงจะเปลี่ยนแปลงไปจะเกิดอากาคล้ายๆ กับตอนที่กำลังจะมีประจำเดือน จะรู้สึกว่าทุกอย่างไม่ดี หงุดหงิดบ่อยๆ โกรธแบบไม่มีที่มา ไม่มีเหตุผล ซึ่งต้องหมั่นตรวจสอบอารมณ์ตัวเองอยู่บ่อยๆ จะได้รู้ว่าตอนนี้คุณกำลังตั้งครรภ์อยู่หรือไม่? รวมไปถึงอาการเจ็บคัดเต้านมอยู่บ่อยๆ หรือมีอาการแน่นหน้าอกร่วมด้วยเหมือนตอนที่กำลังจะมีประจำเดือนมา

6. อาการปัสสาวะบ่อยๆ ท้องผูก เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตเกิดขึ้นมา มดลูกที่มีการเริ่มขยายตัวขึ้นก็จะไปเบียดตัวกับกระเพาะปัสสาวะทำให้ต้องปัสสาวะบ่อย ทางเดินอาหารก็เปลี่ยนแปลงไป ระบบย่อยอาหารก็เปลี่ยนไปเพราะอีกหนึ่งชีวิตในท้อง หรือบางครั้งก็มาจากที่คุณแม่ทานยาบำรุงต่างๆ หรือไม่อาหารบางอย่างที่สร้างแก๊สในกระเพาะมากได้ เพราะว่าคนท้องจะท้องอืดง่ายอยู่แล้วจ้า

คุณผู้หญิงท่านใดที่กำลังตั้งครรภ์อยู่มักจะมีอาการดังที่กล่าวมาแล้ว แต่สำหรับใครที่กำลังสงสัยอยู่นั้น ลองสังเกตอาการของตัวเองดูว่าเปลี่ยนไปอย่างไรบ้างนะจ้า เมื่อรู้ตัวให้รีบพบแพทย์ในทันทีเพื่อที่จะได้รับคำแนะนำที่ดีและปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องในช่วงตั้งครรภ์ และอีกอย่างต้องอย่าลืมไปฝากท้องด้วยนะจ๊ะ

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วิธีทำน้ำพริกกะปิ

น้ำพริกกะปิ

น้ำพริกกะปิ นับเป็นอาหารที่คนไทยนิยมรับประทานน้ำพริกกะปิ คู่กับผักลวก หรือกับข้าวสวย หรือบางคนชอบทาน น้ำพริกกะปิกับทอดปลาทู และผักลวก นับว่าเป็นอาหารที่ทานเมื่อไหร่ก็ไม่เบื่อเลย

วัถุดิบอุปกรณ์
1.พริกขี้หนู เขียว,แดง
2.กะปิ
3.น้ำตาลทราย,น้ำตาลปีบ
4.กระเทียม
5.มะนาว
6.มะเขือต่างๆ(ตามใจชอบ)
7.น้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว
8.ครก,สาก

 วิธีตำ
1.ล้างพริกล้างมะนาวและมะเขือด้วยน้ำสะอาด
2.ตำพริก ตำกระเทียม ให้ละเอียด (ใส่มากน้อยตามใจชอบ)
3.ใส่น้ำตาลทรายหรือน้ำตาลปีบลงไป (ตามใจชอบ)
4.ใส่กะปิลงไปแล้วตำให้เข้ากัน
5.เทน้ำที่เตรียมไว้ลงไปใส่ครก
6.ซอยพริก ซอยมะเขือ เทลงไปในครก
7.บีบมะนาว ที่เตรียมไว้ใส่ลงไป ตามใจชอบ
8.เติมพริก เติมมะนาว และน้ำตาล ตามรสที่ชอบ
9.เทใส่ภาชนะ ที่เตรียมไว้พร้อมรับประทาน